เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

02 ธ.ค. 2568 | 09:28 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ธ.ค. 2568 | 09:29 น.

กรมวิชาการเกษตร จัดเสวนาอนาคตเกษตรไทยยุคใหม่เข้าใจใช้ประโยชน์เทคโนโลยีจีโนม พลิกโอกาส ความท้าทายในเวทีโลก ยันไม่ใช่ GMO หวั่นสังคมเข้าใจผิด

KEY

POINTS

  • กรมวิชาการเกษตรจัดเวทีเสวนาใหญ่เพื่อผลักดันการใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing) สร้างความเข้าใจที่ถูกต้อง และรับฟังข้อกังวลจากทุกภาคส่วน
  • มีการขับเคลื่อนเทคโนโลยีใน 3 ด้านหลัก ได้แก่ การวิจัยและพัฒนา, การสร้างการรับรู้ และการกำกับดูแล โดยได้ออกประกาศรองรับพืชปรับแต่งจีโนมในปี 2567 เพื่อแยกความแตกต่างจากพืช GMO
  • เทคโนโลยีนี้ถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญในการรับมือวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และปัญหาราคาสินค้าเกษตร เพื่อสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรไทย

นายรพีภัทร์ จันทรศรีวงศ์ อธิบดีกรมวิชาการเกษตร เปิดเผยภายหลังเป็นประธานเปิดการประชุม Focus Group ประเด็นเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเรื่อง “อนาคตเกษตรไทยยุคใหม่ : โอกาส ความท้าทาย และการสร้างความเข้าใจการใช้ประโยชน์เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (GEd)” ว่า กรมวิชาการเกษตรได้ให้ความสำคัญในการผลักดันเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อภาคการเกษตรไทยมาโดยตลอด

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

ทั้งงานวิจัยพัฒนาปรับปรุงพันธุ์ การสร้างการรับรู้ การผลักดันด้านการกำกับดูแลภายใต้ประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมเพื่อการใช้ประโยชน์ในภาคเกษตร พ.ศ. 2567 และประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองพืชที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม พ.ศ. 2567 ซึ่งเทคโนโลยีใหม่จะเกิดประโยชน์ได้จริงต้องยืนอยู่บนหลักวิชาการที่ถูกต้อง และควบคู่กับความเชื่อมั่นของประชาชน

พร้อมรับฟังข้อกังวลของทุกภาคส่วนอย่างจริงใจ เพื่อสะท้อนเสียงข้อกังวลของภาคประชาชนและสังคมไทยผ่านเวทีการประชุมในครั้งนี้อย่างตรงไปตรงมา พร้อมสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม (Genome Editing) ที่มีบทบาทสำคัญต่อการพัฒนาพันธุ์พืช สัตว์ และจุลินทรีย์ อีกทั้งประเด็นความสับสนระหว่างเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมกับพืช GMO ที่อาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดในวงกว้าง ความปลอดภัยของอาหารในระยะยาว ผลกระทบต่อความหลากหลายของพันธุ์พืชพื้นบ้าน และการคุ้มครองสิทธิของผู้ผลิตรายย่อย จะถูกนำเข้าสู่เวทีพูดคุยเพื่อให้ผู้เชี่ยวชาญตอบคำถามตามหลักวิทยาศาสตร์

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

ในการประชุมได้รับเกียรติจากหลายภาคส่วนเข้าร่วมประชุม อาทิ กรรมาธิการการเกษตรและสหกรณ์ อนุกรรมาธิการการคุ้มครองผู้บริโภค คณะกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การมีส่วนร่วมของประชาชน สิทธิมนุษยชน สิทธิเสรีภาพ และการคุ้มครองผู้บริโภค สมาคมแป้งมันสำปะหลัง สมาคมพืชสวน และสมาคมเทคโนโลยีชีวภาพสัมพันธ์ เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและข้อคิดเห็นในการผลักดันการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีปรับแต่งจีโนมอย่างมีประสิทธิภาพสำหรับรองรับวิกฤตความมั่นคงทางอาหาร

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ รองรับความท้าทายด้านราคาสินค้าเกษตรตกต่ำและผลผลิตล้นตลาดอย่างยั่งยืน สนับสนุนโอกาสทางเศรษฐกิจ และสร้างความเข้มแข็งให้ภาคเกษตรและอุตสาหกรรมเมล็ดพันธุ์ของไทย รวมถึงส่งเสริมการรับรู้ด้านความปลอดภัยอาหาร ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์จากเทคโนโลยีจีโนม เพื่อให้ผู้บริโภคได้รับข้อมูลที่ถูกต้องและสามารถตัดสินใจบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์

 

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

ดร.ปิยรัตน์ ธรรมกิจวัฒน์ ผู้อำนวยการสำนักวิจัยพัฒนาเทคโนโลยีชีวภาพ กล่าวถึงการดำเนินงานของกรมวิชาการเกษตรได้ขับเคลื่อนเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม ใน 3 ด้าน คือ งานวิจัยและพัฒนา การสร้างการรับรู้ และการกำกับดูแล โดยในปีที่ผ่านมาได้มีการออกประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง “หลักการ วิธีการ และเงื่อนไขการรับรองพืชที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม พ.ศ. 2567 เพื่อรองรับงานวิจัยและพัฒนาปรับปรุงพันธุ์พืชจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมที่ไม่ใช่พืช GMO จากภาคส่วนต่างๆ รวมถึงได้สร้างการรับรู้ในการกำกับดูแล การขอพิจารณารับรองพืชปรับแต่งจีโนมให้กับนักวิจัย นักวิชาการเกษตร บุคลากร ประชาชน ได้ทราบถึงความแตกต่างของพืชปรับแต่งจีโนมกับพืช GMO รวมถึงประโยชน์และข้อห่วงกังวลที่เกิดจากการใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

ดร.ชาลินี คงสวัสดิ์ ศูนย์พันธุวิศวกรรมและเทคโนโลยีชีวภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ปัจจุบันหลายประเทศทั่วโลกกำลังให้ความสำคัญกับเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม และได้กำหนดแนวทางกำกับดูแลแยกจากพืช GMO โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่ไม่แทรกยีนต่างชนิดซึ่งมีลักษณะใกล้เคียงการกลายพันธุ์ตามธรรมชาติ ช่วยให้ภาคการเกษตรเข้าถึงนวัตกรรมได้รวดเร็วขึ้นควบคู่กับการประเมินความปลอดภัยอย่างสมดุล ประเทศไทยเองได้จัดทำประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง การขอรับรองสิ่งมีชีวิตที่พัฒนาจากเทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนม เพื่อใช้ประโยชน์ในภาคการเกษตร พ.ศ. 2567 เพื่อให้การใช้ประโยชน์เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ พร้อมมาตรการประเมินที่เหมาะสมเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและสิ่งแวดล้อม

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

ด้านเวทีเสวนาในครั้งนี้ มุ่งเน้นการสื่อสารเชิงรุกให้เกิดความเข้าใจที่โปร่งใสและรอบด้าน ครอบคลุมเนื้อหาข้อมูลวิทยาศาสตร์พื้นฐาน ความปลอดภัยต่อผู้บริโภค มุมมองภาคอุตสาหกรรม โอกาสในการแข่งขันทางการค้า และการกำกับดูแลที่สอดคล้องกับมาตรฐานสากล พร้อมเปิดพื้นที่ให้สังคมได้ร่วมรับฟัง ร่วมคิดและร่วมกำหนดทิศทางการใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมของประเทศ โดยได้รับเกียรติจาก ดร.ดรุณี เอ็ดเวิร์ดส เลขาธิการมูลนิธิข้าวไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นผู้ดำเนินรายการ และวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิจากภาคส่วนต่าง ๆ มาให้ข้อมูล ได้แก่ 1) รศ.ดร.ศุภชัย วุฒิพงศ์ชัยกิจ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 2) นางสาวนฤมล ฉัตรสง่า ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอาหารและการบริโภคอาหาร สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา 3) ดร.บุญญานาถ นาถวงษ์ นายกสมาคมการค้าเมล็ดพันธุ์ไทย 4) คุณกิตติพงศ์ ลิ่มสุวรรณโรจน์ กรรมการบริหารสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และ 5) คุณสุกรรณ์ สังข์วรรณะ เกษตรกรสมัยใหม่

เสวนาใหญ่! กรมวิชาการเกษตรชูเทคโนโลยีจีโนม เปลี่ยนอนาคตเกษตรไทยสู่ยุคใหม่

“การประชุมครั้งนี้ ถือเป็นก้าวสำคัญที่สะท้อนให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายของการใช้เทคโนโลยีการปรับแต่งจีโนมที่มีบทบาทอย่างมากต่ออนาคตภาคการเกษตรไทย โดยทุกภาคส่วนจำเป็นต้องได้รับข้อมูลที่ถูกต้องบนพื้นฐานวิทยาศาสตร์ที่เชื่อถือได้ และสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีได้อย่างแท้จริง กรมวิชาการเกษตรมุ่งมั่นดำเนินงานกำกับดูแลอย่างรอบคอบ โปร่งใส และทันสมัย เพื่อให้เทคโนโลยีนี้สร้างคุณประโยชน์ต่อประเทศ เกษตรกร และผู้บริโภคอย่างยั่งยืน พร้อมเปิดรับฟังความคิดเห็นจากทุกภาคส่วน พร้อมร่วมกันขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงและมีศักยภาพยิ่งขึ้น” อธิบดีกรมวิชาการเกษตร กล่าว