“ไข่ล้น–ราคาร่วง”เขย่าผู้เลี้ยงไก่ทั่วไทย เสี่ยงสูญรายย่อย

05 พ.ย. 2568 | 09:27 น.
อัปเดตล่าสุด :05 พ.ย. 2568 | 09:43 น.

ราคาไข่ไก่ดิ่งหนักแตะฟองละ 3 บาท ทุบสถิติต่ำสุดรอบเกือบ 3 ปี ขณะที่ต้นทุนสูงกว่า 3.20 บาท เกษตรกรรายย่อยทุกภูมิภาคเดือดร้อนหนัก แนะรัฐเร่งออกมาตรการช่วยเหลือ

KEY

POINTS

  • ราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มทั่วประเทศตกต่ำเหลือฟองละ 3 บาท ซึ่งสวนทางกับต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้น ทำให้เกษตรกรรายย่อยขาดทุนอย่างหนัก
  • สาเหตุหลักเกิดจากภาวะไข่ล้นตลาด เนื่องจากการปลดแม่ไก่ทำได้ช้า ประกอบกับความต้องการบริโภคลดลงจากเศรษฐกิจชะลอตัวและจำนวนนักท่องเที่ยวที่น้อยกว่าคาด
  • วิกฤตครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อผู้เลี้ยงไก่ไข่ในทุกภูมิภาค โดยเฉพาะเกษตรกรรายย่อยที่กำลังเสี่ยงต่อการเลิกกิจการ ซึ่งอาจกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

ปลายเดือนตุลาคม 2568 ตลาดไข่ไก่ทั่วประเทศเผชิญแรงสั่นสะเทือนครั้งใหญ่ เมื่อราคาไข่ไก่คละหน้าฟาร์มลดฮวบเหลือเพียง “ฟองละ 3 บาท” ต่ำสุดในรอบเกือบ 3 ปี ท่ามกลางภาวะต้นทุนอาหารสัตว์ ค่าขนส่ง และพลังงานที่ยังพุ่งสูง ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยจำนวนมากต้องขาดทุนสะสมและเสี่ยงเลิกกิจการ

เสียงสะท้อนจากเกษตรกรในทุกภูมิภาคสะท้อนตรงกันว่า ปัญหานี้ไม่ใช่แค่ “ราคาตกชั่วคราว” แต่เป็น “วิกฤตเชิงโครงสร้าง” ที่สะสมมานาน ตั้งแต่ระบบการจัดการแม่ไก่ การนำเข้าพ่อแม่พันธุ์ ไปจนถึงความเปราะบางของตลาดภายในประเทศ ซึ่งขาดกลไกดูดซับส่วนเกินอย่างเป็นระบบ

ภาคใต้: ราคาร่วงเร็วสุด–ต้นทุนเกินขาย

สุเทพ สุวรรณรัตน์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ภาคใต้ เปิดเผยว่า ในช่วงเพียง 20 วัน ราคาขายหน้าฟาร์มปรับลดถึง 3 รอบ เหลือฟองละ 3 บาท ขณะที่ต้นทุนจริงต่อฟองทะลุ 3.20 บาท ทำให้ผู้เลี้ยงขาดทุนต่อเนื่อง

ภาคใต้ โดยเฉพาะนครศรีธรรมราช สงขลา พัทลุง และสุราษฎร์ธานี เคยเป็นแหล่งส่งไข่ขึ้นภาคกลาง แต่ปีนี้ตลาดปลายทางอิ่มตัว ขณะเดียวกันค่าขนส่งที่เพิ่มสูงทำให้การกระจายสินค้าติดขัด เกษตรกรบางส่วนพยายามระบายสินค้าผ่าน “ตลาดชุมชน” หรือ “รถไข่เคลื่อนที่” แต่กำลังซื้อในพื้นที่ซบเซาหนัก หลังฤดูกาลท่องเที่ยวต่างชาติลดลงกว่าคาด 20–30% โรงแรม–ร้านอาหารลดการสั่งซื้อ ขณะเดียวกันยังถูกซ้ำด้วยไข่จากฟาร์มใหญ่ภาคกลางที่ขนเข้ามาขายแข่งในพื้นที่ ทำให้ราคาต่ำกว่า 3 บาทในบางจุด

“ถ้ารัฐไม่ออกมาช่วยพยุงราคา อีก 1–2 เดือน ฟาร์มรายย่อยจำนวนมากจะสูญเสียศักยภาพการผลิตอย่างถาวร” สุเทพเตือน

ภาคกลาง: ฐานผลิตหลักราคาทรุด–เสี่ยงไข่ล้น

พเยาว์ อริกุล นายกสมาคมการค้าผู้เลี้ยงไก่ไข่รายย่อยภาคกลาง เปิดเผยว่า ตั้งแต่ต้นปีจนถึงต้นพฤศจิกายน ราคาไข่คละหน้าฟาร์มทรุดเหลือเพียง 3 บาทต่อฟอง จากเดิมเฉลี่ย 3.50–3.80 บาท สาเหตุหลักมาจากความต้องการบริโภคลดลงจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว โรงเรียนปิดเทอม เทศกาลกินเจ และจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง

นอกจากนี้ การส่งออกแม่ไก่ปลดหยุดชะงักจากสถานการณ์ชายแดนไทย–กัมพูชา ทำให้เกษตรกรไม่สามารถ “ปลดแม่ไก่” ตามเกณฑ์อายุ 80 สัปดาห์ได้ ราคาขายแม่ไก่ปลดต่ำจนไม่คุ้มต้นทุน จึงเลี้ยงต่อเกินอายุ ส่งผลให้ “ไข่ล้นระบบ” มากขึ้น

พเยาว์ ระบุว่า การพิจารณาเพิ่มโควตานำเข้าพ่อแม่พันธุ์ในปี 2569 ต้องทำอย่างรอบคอบ เพราะหากปล่อยให้ปริมาณแม่ไก่เพิ่มขึ้นโดยไม่มีระบบควบคุม จะยิ่งซ้ำเติมปัญหาผลผลิตล้นตลาด พร้อมเรียกร้องให้รัฐเข้มงวดมาตรการความปลอดภัยทางชีวภาพ (Biosecurity) เพื่อป้องกันโรคระบาดและควบคุมคุณภาพไข่ไก่

“ถ้ารัฐไม่ช่วยจริงจัง เกษตรกรรายย่อยอาจเลิกเลี้ยง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางอาหารของประเทศ” พเยาว์ย้ำ

ภาคเหนือ: นักท่องเที่ยวน้อย–ราคาต่ำกว่าทุน

พื้นที่ภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง และ พะเยา ซึ่งปกติช่วงตุลาคม–ธันวาคม เป็นฤดูท่องเที่ยวสูงสุด กลับได้รับผลกระทบหนักจากฝนตกยาวและจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่ลดลง 20–30% ทำให้ยอดสั่งซื้อจากโรงแรมและร้านอาหารหดหาย

เกษตรกรในพื้นที่ระบุว่า ราคาหน้าฟาร์มบางแห่งไม่ถึง 3 บาทต่อฟอง แต่ต้นทุนจริงยังเกิน 3 บาท จึงขาดทุนทุกฟองที่ขาย ขณะที่ค่าขนส่งจากพื้นที่ภูเขาเข้าสู่ตลาดใหญ่เพิ่มขึ้น ทำให้หลายฟาร์มต้องจำหน่ายในท้องถิ่นแทน แต่ราคายังต่ำกว่ามาก

“ขายเท่าไรก็ขาดทุน ขายมากยิ่งเจ็บมาก แต่ก็ยังต้องขายเพื่อรักษาตลาดไว้” เกษตรกรรายหนึ่งในเชียงใหม่กล่าว

อีสาน: รายย่อยเริ่มถอย-ฟาร์มส่อหาย 20% 

ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยเฉพาะนครราชสีมา ขอนแก่น และอุดรธานี ผู้เลี้ยงส่วนใหญ่เป็นรายย่อย พึ่งพารายได้จากการขายไข่รายวัน ต้นทุนต่อฟองเกิน 3 บาท แต่ราคาขายลดลงต่อเนื่อง ทำให้บางฟาร์มเริ่มลดจำนวนแม่ไก่ หรือเร่งปลดขายแม้ได้ราคาต่ำ

สมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่อีสานคาดว่า หากราคาไม่ฟื้นภายในเดือนธันวาคม ฟาร์มรายย่อยอาจหายไป 15-20% โดยเฉพาะรายที่อยู่นอกสหกรณ์ ไม่มีอำนาจต่อรองเรื่องต้นทุนอาหารสัตว์หรือระบบตลาด

ทางรอด: ปลดแม่ไก่–ดูดซับส่วนเกิน

ปัญหา “ไข่ล้น–ราคาร่วง” ครั้งนี้ เกิดจากหลายปัจจัยซ้อนกัน ทั้งระบบควบคุมแม่ไก่ที่ไม่สมดุล ความต้องการบริโภคลดลง การส่งออกสะดุด และขาดกลไกดูดซับส่วนเกินเข้าสู่อุตสาหกรรมอาหารแปรรูป

แนวทางระยะสั้น ควรเร่งปลดแม่ไก่ยืนกรงเกินอายุออกจากระบบ รัฐช่วยค่าขนส่งกระจายไข่ส่วนเกิน และส่งเสริมการบริโภคไข่ในประเทศ 

ส่วนระยะยาว ต้องพัฒนาระบบข้อมูลการผลิตและการตลาดแบบเรียลไทม์ ช่วยให้ Egg Board บริหารจำนวนแม่ไก่ได้แม่นยำ และยกระดับฟาร์มรายย่อยเข้าสู่มาตรฐาน GAP เพื่อความเป็นธรรมด้านต้นทุน

หากไร้มาตรการเชิงโครงสร้าง “ฟองละ 3 บาท” อาจไม่ใช่แค่ราคาชั่วคราว แต่คือ สัญญาณเริ่มต้นของการสูญเสียเกษตรกรไก่ไข่รายย่อย ฐานรากของความมั่นคงทางอาหารไทยในอนาคต