นับจากนี้ไปการประชุมสภาผู้แทนราษฎร จะมีการพิจารณาร่างกฎหมายต่อเนื่องทั้งวันพุธและวันพฤหัสบดี ถือเป็นโอกาสสำคัญในช่วงเวลาที่เหลืออีกราว 4 เดือนก่อนรัฐบาลชุดใหม่จะยุบสภาหลังแถลงนโยบาย หนึ่งในนั้นคือ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2558 พ.ศ. .... รวม 71 มาตรา
นายปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานคณะกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกำหนดการประมง พ.ศ. 2568 พ.ศ. ....เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ถึงแนวโน้มการพิจารณาร่างกฎหมายประมงฉบับใหม่ คาดจะเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาในวันที่ 17 กันยายน จากเดิมจะเข้าวันที่ 10 กันยายนซึ่งไม่ทัน เนื่องจากมีวาระเยอะมาก อย่างไรก็ดีกฎหมายใหม่ได้ผ่านความเห็นชอบจากทั้ง 2 สภาคือ สภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสภาเรียบร้อยแล้ว หากผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภาในสัปดาห์หน้า จะส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ เพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย และประกาศในราชกิจจานุเบกษาเพื่อบังคับใช้เป็นกฎหมายต่อไป
“จะเสนอให้รัฐบาลชุดใหม่ออกกฎหมายประมงนอกน่านนํ้า พ.ศ. .... ระยะเวลา 4 เดือน คาดจะเสร็จแน่นอน และไทยจะสามารถทวงแชมป์ส่งออกสินค้าประมงไทย 2 แสนล้านกลับคืนมาได้ไม่ยาก โดยในครั้งนี้ได้ถอดโมเดลประมงเหมือนประเทศไต้หวัน ที่แยกกฎหมายประมงนอกน่านนํ้าแยกต่างหากอีกฉบับหนึ่ง”
นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า เมื่อกฎหมายมีผลบังคับใช้แล้ว ไทยจะหวนกลับไปสู่ผู้นำประมงของโลกที่ส่งออกมูลค่า 2 แสนล้านบาทต่อปีได้อีกครั้ง จากวันนี้ไทยกลายเป็นผู้นำเข้าแม้แต่ปลาทู วันนี้เรือประมงพาณิชย์เหลือ 9,715 ลำ จากปี 2558 มีจำนวน 25,002 ลำ และเรือนอกน่านนํ้าจากพันกว่าลำ ปัจจุบันไม่มีแม้แต่ลำเดียว ซึ่งไม่สามารถออกไปจับปลานอกน่านนํ้าได้ ทำให้เสียดายโอกาส
“ประมงนอกน่านนํ้าแม้จะไม่ใช่สมบัติของเรา แต่เราต้องพยายามให้ไปอยู่นอกน่านนํ้าให้ได้ นั่นคือต้องออกกฎหมายภายใน 4 เดือน ที่ผ่านมาเราไม่ได้แพ้ในเรื่องการจับปลา แต่เป็นเพราะเราถูกกีดกันในการทำประมง จากมีบางประเทศในอียูที่เป็นคู่แข่งบีบ ทำให้โรงงานปลากระป๋องไทยบางรายต้องย้ายไปตั้งในสเปน”
นายมงคล สุขเจริญคณา ประธานสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย กล่าวว่า ร่างกฎหมายประมงแก้ไขเพิ่มเติมฉบับใหม่ของไทย มองว่าดีที่สุดในเอเชีย ขณะที่ยังอยู่ในหลักเกณฑ์ของสหภาพยุโรป (อียู) ครบถ้วน รวมทั้งการจัดสรรทรัพยากรสัตว์นํ้ายังถูกควบคุมโดยจำนวนวันทำการประมง เพียงแต่การกำหนดโทษให้เหมาะสม เช่น โทษปรับ หากเรือกระทำผิดลำไหน ก็ให้ปรับลำนั้น แต่กฎหมายเดิมเหมารวม โดยอ้างว่ามีชื่อเจ้าของคนเดียว ยกตัวอย่าง มีเรือลำ 1 ไปทำผิด อีก 4 ลำไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง แต่กลายเป็นว่าต้องไปทำผิดในกระทงเดียวกันด้วย เป็นต้น
“ปัจจุบันเรือประมงพาณิชย์ได้รับโทษจากมาตรการการปกครองที่เข้าเขตทะเลชายฝั่งที่สงวนไว้ให้กับประมงพื้นบ้าน ประมาณ 700-800 คดี รวมโทษปรับ 3-5 ล้านบาท เป็นเรือระบบติดตามตำแหน่งเรือ (VMS) โดยใช้ระบบดาวเทียม อาจจะมีข้อผิดพลาดจากดาวเทียมไม่เสถียรบางลำเข้ามา 50 เมตร และบางลำ 100-300 เมตร ก็ไม่ได้จับปลาอะไรมากนัก ในกฎหมายใหม่ เปลี่ยนในข้อนี้ว่าหากมีการกระทำผิดครั้งที่ 2 ถ้าเข้าไป 300 เมตร ให้นำตัวปลาสัตว์นํ้าที่จับได้เป็นตัวตั้ง จากนั้นให้ปรับ 5 เท่าของมูลค่าสัตว์นํ้า แต่ถ้าน้อยกว่าโทษให้ปรับขั้นตํ่าหลักหมื่น จากกฎหมายเดิมอัตราโทษขั้นตํ่าเริ่ม 6 แสนบาท มองว่าไม่เป็นธรรม”
นายมงคล กล่าวว่า ปัญหาที่น่าห่วงก็คือการไม่จำกัดเรือประมงพื้นบ้าน ปัจจุบันมีเรือจดทะเบียนจำนวน 46,460 ลำ ยังมีอีกจำนวนมากที่ไม่จดทะเบียน ประเมินคร่าว ๆ รวมถึงแสนล้านลำ เพราะไม่ได้ควบคุมแต่ปล่อยเสรี อนาคตเรือกลุ่มนี้ไม่ใช่ประมงพื้นบ้านอย่างเดียว (กลุ่มตั้งแต่ 3 ตันกรอสถึง 10 ตันกรอส) ซึ่งมองว่าจะเป็นภัยเงียบคุกคามอนาคตทะเลไทย
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,131 วันที่ 14-17 กันยายน พ.ศ. 2568