KEY
POINTS
พระราชบัญญัติส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา พ.ศ. 2560 มีเป้าหมายสร้างความเป็นธรรมระหว่างเกษตรกรกับผู้ประกอบการ ล่าสุดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้จัดทำ (ร่าง) แผนพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา 2568–2570 กำหนดวิสัยทัศน์ “ระบบเกษตรพันธสัญญามีความเป็นธรรมตามหลักสากล ขับเคลื่อนเกษตรไทยอย่างยั่งยืน”
แผนใหม่นี้เดินตามนโยบายรัฐบาลอนุทิน ชาญวีรกูล ภายใต้แนวคิด “เกษตรกรรํ่ารวย Contract Farming” ด้วย 3 หลัก “รู้ราคาก่อนปลูก รับเงินก่อนขาย ความเสียหายมีประกัน” พร้อมตัวเลขรับประกันราคาสินค้าเกษตรสูงกว่าตลาด ได้แก่ ข้าวหอมมะลิ 18,000 บาท/ตัน มันสำปะหลัง 4 บาท/กิโลกรัม (กก.) และยางพารา 60 บาท/กก.
แหล่งข่าวจากสำนักงานเลขานุการคณะกรรมการส่งเสริมและพัฒนาระบบเกษตรพันธสัญญา กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า การทำเกษตรในระบบเกษตรพันธสัญญาของประเทศไทยที่ผ่านมา มีลักษณะเป็นการดำเนินธุรกิจร่วมกันระหว่างเกษตรกรและผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตร โดยผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรเป็นผู้กำหนดข้อตกลงหรือเงื่อนไขสัญญาที่ใช้บังคับกับเกษตรกรแต่เพียงฝ่ายเดียว
อีกทั้งสัญญาที่ใช้มีความหลากหลายไม่มีรูปแบบเฉพาะ โดยมีลักษณะผสมผสานระหว่างสัญญาจ้างทำของ สัญญาจ้างแรงงาน และสัญญาซื้อขาย ซึ่งมีความซับซ้อนและยุ่งยากในการวิเคราะห์ถึงความคุ้มค่าและต้นทุนในการผลิต ผลิตผลหรือบริการทางการเกษตร ส่งผลให้เกษตรกรรายย่อยซึ่งมีอำนาจต่อรองในการทำสัญญาน้อยกว่า
ขณะที่ผู้ประกอบธุรกิจทางการเกษตรมีความเสี่ยงที่จะไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในสัญญาได้ประกอบกับเมื่อคู่สัญญาในระบบเกษตรพันธสัญญา มีจำนวนและความหลากหลายมากขึ้น ส่งผลให้มีทั้งผู้ที่มุ่งพัฒนาธุรกิจทางการเกษตรโดยสุจริต และผู้ไม่หวังดีที่เข้ามาแอบแฝงหาประโยชน์จากเกษตรกร ซึ่งทำให้เกิดปัญหาจากการผลิต ที่ให้ผลตอบแทนหรือผลลัพธ์ไม่ตรงตามที่คาดหวัง และถูกหลอกให้ซื้อปัจจัยการผลิตที่ไม่มีมาตรฐานทำให้โครงสร้างในระบบเกษตรพันธสัญญาขาดความสมดุลและไม่เป็นธรรมทำให้เกษตรกรตกเป็นเหยื่อเข้าข่ายคดีฉ้อโกง
โดยตั้งแต่ปี 2561- มิถุนายน 2568 มีผู้เสียหายจำนวน 625 ราย ซึ่งทางสำนักงานฯได้ให้ความช่วยเหลือเพื่อให้เกษตรกรได้รับความเป็นธรรมมากที่สุด และดึงทนายอาสามาช่วยด้วย อย่างไรก็ดีเชื่อมั่นว่า(ร่าง)เกษตรพันธสัญญาจะตอบโจทย์รัฐบาลใหม่ และสานต่อจากรัฐบาลในอดีตที่ขับเคลื่อนมาอย่างต่อเนื่อง
ปัจจุบันจำนวนเกษตรกรในระบบพันธสัญญา แบ่งเป็น 1. “ด้านพืช” มีบุคคลธรรมดา จำนวน 187,749 ราย ,กลุ่มเกษตรกร 4,461 กลุ่ม,สหกรณ์การเกษตร 38 สหกรณ์ ,วิสาหกิจชุมชน 75 แห่ง ,กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชม 16 แห่ง 2. “ด้านปศุสัตว์” มีบุคคลธรรมดา จำนวน 9,740 ราย ,กลุ่มเกษตรกร 11 กลุ่ม,สหกรณ์การเกษตร 2 สหกรณ์ ,วิสาหกิจชุมชน 4 แห่ง ,กลุ่มเครือข่ายวิสาหกิจชุมชม 3 แห่ง และ 3. “ด้านเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า” มีบุคคลธรรมดา 430 ราย และวิสาหกิจชุมชน 1 แห่ง ส่วนจำนวนผู้ประกอบธุรกิจมีทั้งหมด 306 ราย แบ่งเป็นด้านเพาะปลูก 237 ราย ด้านปศุสัตว์ 62 ราย และด้านเพาะเลี้ยงสัตว์นํ้า 7 ราย
นายสุเทพ คงมาก นายกกิตติมศักดิ์สมาคมชาวนาและเกษตรกรไทย และอดีตคณะกรรมการนโยบายและบริหารข้าวแห่งชาติ (นบข.) กล่าวถึงเกษตรพันธสัญญา โดยปกติทุกปีจะทำกับเกษตรกรผู้ปลูกข้าวเกษตรอินทรีย์ มีการประกันรับซื้อข้าวสูงกว่าราคาตลาด 2,000 บาท/ตัน เป็นเรื่องที่ทำมาอย่างต่อเนื่องไม่ใช่เรื่องใหม่
เช่นเดียวกับนายสิทธิพันธ์ ธนาเกียรติภิญโญ นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ กล่าวถึง เกษตรพันธสัญญาของผู้เลี้ยงสุกรมีการทำสัญญา 2 รูปแบบ ได้แก่ 1.มีแบบประกันราคา จากต้นทางถึงปลายทาง และ2.โครงการจ้างเลี้ยง ตั้งแต่ 500-1,000 ตัว โดยทางบริษัทที่รับจ้างจะรับผิดชอบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับฝีมือในการเลี้ยงที่โตเร็ว และสูญเสียน้อย จะได้ผลตอบแทนสูง ซึ่งในช่วงหลังเกษตรกรส่วนมากชอบโครงการจ้างเลี้ยง เพราะไม่มีความเสี่ยงเรื่องราคา และบริษัทจะมีนักวิชาการคอยให้คำแนะนำอยู่ตลอดเวลา ซึ่งภาคบริษัทได้ทำเกษตรพันธสัญญากับเกษตรกรลํ้าหน้าไปมากกว่ากฎหมายที่ใช้บังคับอยู่แล้ว
นายประพัฒน์ ปัญญาชาติรักษ์ อดีตประธานสภาเกษตรกรแห่งชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมามีเกษตรกรที่รํ่ารวยจากเกษตรพันธสัญญาน้อย แม้จะมีกฎหมายตั้งแต่ปี 2560 ก็ยังไม่ตอบโจทย์ เกษตรกรยังเสียเปรียบบริษัทอยู่ดี อย่างไรก็ดีอยากจะฝากให้รัฐบาลใหม่ปัดฝุ่นพระราชบัญญัติกัญชา กัญชง ฯ ขึ้นมา เพราะร่างเสร็จนานแล้ว สามารถเข้าสภาในวาระ 2 และ 3 ได้ทันที โดยเฉพาะกัญชา ที่สามารถผลักดันให้เป็นพืชเศรษฐกิจได้
หน้า 9 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,130 วันที่ 11 - 13 กันยายน พ.ศ. 2568