ดึงคนนอกร่วมรัฐบาลภูมิใจไทย จีบมืออาชีพนั่งรมว.‘คลัง-พาณิชย์-ต่างประเทศ’ เอกชนฝากการบ้านอื้อ

04 ก.ย. 2568 | 22:19 น.

จับตารัฐบาลภูมิใจไทย ดึงคนนอกนั่งเก้าอี้รมว.“คลัง-พาณิชย์-ต่างประเทศ”ยันพร้อมร่วมทำงาน ขอมือดีเสกเศรษฐกิจฟื้นใน 4 เดือน ชงวาระเร่งด่วน แก้ปัญหากำลังซื้อฟุบ ไม่เน้นแจกเงิน แก้ SMEs ค้างชำระหนี้พุ่ง บาทแข็ง เดินหน้า FTA ไทย-อียู ดัน “รัฐครึ่งเอกชนครึ่ง” เพิ่มจ้างงาน

หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น วันที่ 5 กันยายน 2568 ที่ประชุมรัฐสภาจะลงมติเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่คนที่ 32 ของประเทศ ที่จะมีอำนาจเต็มในการฟอร์มคณะรัฐมนตรี(ครม.) ชุดใหม่ เข้ามาขับเคลื่อนประเทศให้พ้นจากช่วงสุญญากาศ และฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว ท่ามกลางกำลังซื้อของประชาชนที่ถดถอย ราคาสินค้าเกษตรตกต่ำ การส่งออกและการท่องเที่ยวชะลอลง ซึ่งล้วนต้องการมาตรการเร่งด่วนจากฝ่ายบริหารใหม่โดยเร็ว

แหล่งข่าวจากพรรคภูมิใจไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า รัฐบาลภายใต้การนำของพรรคภูมิใจไทย นายอนุทิน ชาญวีรกูล จะนั่งเป็นหัวหน้าทีมเศรษฐกิจด้วยตัวเอง รวมทั้งจะสรรหาคนนอกที่มีความรู้ความสามารถและเป็นที่ยอมรับเข้ามาเป็นทีมเศรษฐกิจหลักของรัฐบาลใน 2 กระทรวงเศรษฐกิจสำคัญ คือกระทรวงการคลัง และกระทรวงพาณิชย์ เพื่อจะได้ขับเคลื่อนการทำงานด้านเศรษฐกิจของรัฐบาลออกมาได้ในช่วงระยะเวลาจำกัด ก่อนที่จะยุบสภาภายใน 4 เดือนตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับพรรคประชาชน

ดึงคนนอกนั่งรัฐบาลเฉพาะกิจ

นอกจากนี้ยังได้ทาบทามคนนอกที่มีประสบการณ์ความรู้ด้านต่างประเทศจริง ๆ เข้ามาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะที่ผ่านมางานทางด้านต่างประเทศมีความสำคัญ โดยเฉพาะกรณีการเกิดการกระทบกระทั่งบริเวณชายแดน ไทย-กัมพูชา รวมไปถึงการเจรจากรอบการค้าสำคัญกับสหรัฐ รวมทั้งการรองรับการเจรจาการค้าในกรอบอื่น ๆ

ทั้งนี้นอกจากงานทางด้านการต่างประเทศแล้ว การขับเคลื่อนงานทางด้านการค้าก็เป็นอีกงานหนึ่งที่พรรคภูมิใจไทยอาจต้องหาผู้ที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาขับเคลื่อนนโยบายด้านการค้าอีกหนึ่งคน โดยมีเป้าหมายคือเรื่องการเจรจาเปิดตลาดสินค้ากับสหรัฐ ซึ่งจะใช้เวลาในการเจรจารายละเอียดค่อนข้างมาก เช่นเดียวกับการเจรจาจัดทำเขตการค้าเสรี (FTA) อีกหลายประเทศ โดยเฉพาะ FTA ไทย-อียู ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ตั้งเป้าหมายจะปิดดีลให้ได้ภายในปลายปีนี้

ขณะเดียวกันทางพรรคก็มีสมาชิก และอดีตรัฐมนตรีหลายคนที่เป็นมือเศรษฐกิจ หรือเป็นผู้ที่มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจหลายคน โดยมีผู้ที่ทำงานทั้งเบื้องหน้า-เบื้องหลัง โดยในกลุ่มของอดีตรัฐมนตรี ซึ่งจะเป็นทีมเศรษฐกิจของพรรคได้ เช่น นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ ซึ่งเคยเป็นทั้งอดีต รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา และรมว.แรงงาน, นายนภินทร ศรีสรรพางค์ อดีตรมช.พาณิชย์ และเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจ หรือ นายทรงศักดิ์ ทองศรี ซึ่งแม้ว่าตำแหน่งล่าสุดจะเป็น รมช.มหาดไทย แต่ก่อนหน้านี้ก็เคยนั่งเป็นรมช.คมนาคม มาก่อน รวมถึงรัฐมนตรีกลาโหมจากคน นอกนอกจากนี้กำลังมีการทาบทามนายประสงค์ พูนธเนศ และนายอารีย์พงศ์ ภู่ชอุ่ม มาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง

เอกชนเปิดสเปกรัฐมนตรี

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) กล่าวว่า เวลานี้ไทยเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจปากท้องมากมาย จำเป็นต้องมีนายกฯที่มีความเป็นผู้นำสูง มีวิสัยทัศน์ด้านเศรษฐกิจที่ชัดเจน กล้าตัดสินใจ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน และประชาชน ซึ่งจะเป็นกุญแจสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจเดินหน้าได้

สำหรับ ครม.ชุดใหม่ควรเป็นผู้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญครอบคลุมในด้านต่าง ๆ เช่น การคลัง การลงทุน การค้าทั้งในและต่างประเทศ อุตสาหกรรม การศึกษา การพัฒนาบุคลากร เทคโนโลยี และนวัตกรรม และดำเนินนโยบายเชิงรุก การกระตุ้นเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว รวมถึงการแก้กฎหมายและปรับโครงสร้างภาษีให้ทันสมัย ไม่ซ้ำซ้อน

ดึงคนนอกร่วมรัฐบาลภูมิใจไทย จีบมืออาชีพนั่งรมว.‘คลัง-พาณิชย์-ต่างประเทศ’ เอกชนฝากการบ้านอื้อ

จี้แก้ด่วนเงินบาทแข็งค่า

“หนึ่งในปัญหาที่ภาคเอกชนอยากให้รัฐบาลชุดใหม่เข้ามากำกับดูแล คือ เงินบาทที่แข็งค่ามากในเวลานี้ (แตะที่ระดับ 32 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ามากสุดในรอบ 9 เดือน) กระทบต่อความสามารถในการแข่งขันส่งออก เพราะส่งผลทำให้สินค้าไทยแพงขึ้น และขายยาก อีกด้านหนึ่งจะกระทบกับภาคการท่องเที่ยวต่างชาติที่มาเที่ยวไทย จะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นตามค่าเงินที่แข็งค่า อาจทำให้เดินทางมาท่องเที่ยวลดลง”

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ๆ แล้ว ขณะนี้คนไปเที่ยวญี่ปุ่นกันมากขึ้น เพราะค่าเงินเยนอ่อนตัวลงค่าท่องเที่ยวและค่าช้อปปิ้งจะถูกลง อย่างไรก็ดีในภาคการนำเข้า อาจจะได้รับอานิสงส์จากเงินบาทที่แข็งค่าบ้าง เช่น การนำเข้าสินค้าเพื่อการบริโภค หรือการนำเข้าเครื่องจักรเพื่อการลงทุน ที่ต้นทุนจะลดลง แต่เมื่อเทียบแล้วเงินบาทที่แข็งค่าจะส่งผลกระทบวงกว้างมากกว่า เพราะไทยพึ่งพาการส่งออก และการท่องเที่ยว เป็นส่วนสำคัญในจีดีพี

หนุนตั้งรัฐบาลเร็ว เคลียร์ปมเศรษฐกิจ

ในส่วนผลกระทบจากความไม่แน่นอนทางการเมืองไทยในเวลานี้ ที่ประชุมคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) เมื่อ 3 ก.ย. 2568 เห็นว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองกระทบต่อความเชื่อมั่นและเศรษฐกิจโดยรวม จึงเรียกร้องให้เร่งจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยเร็ว เพื่อเดินหน้าแก้ปัญหาค้างสะสม

หนึ่งในประเด็นเร่งด่วนคือ การเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ ที่แม้ไทยจะได้สิทธิภาษีนำเข้า 19% แล้ว แต่ยังมีรายละเอียด เช่น การเปิดตลาดสินค้าเกษตร ที่ต้องการรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มเพื่อเดินหน้าเจรจาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งนี้ภาคเอกชนย้ำจุดยืนว่า พร้อมร่วมมือกับรัฐบาลทุกพรรค ขอเพียงให้รัฐบาลมีเสถียรภาพและนโยบายมีความต่อเนื่อง เพราะการปฏิรูปในทุกระดับต้องใช้เวลา หากเปลี่ยนรัฐบาลบ่อย จะกระทบต่อความต่อเนื่องของการพัฒนา

ส่วนประเด็นเร่งแก้อื่น ๆ ได้แก่ ปัญหากำลังซื้อ หนี้นอกระบบ ปัญหาชายแดน และการรับมือสินค้านำเข้าที่ไหลทะลักเข้ามา อาจกระทบความสามารถในการแข่งขันของไทย ซึ่งภาคเอกชนเห็นว่าเป็นโจทย์เดิมที่เรื้อรังและต้องได้รับการแก้ไขอย่างจริงจัง

ขอได้รัฐบาลมีเสถียรภาพ

ดร.พจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทย และสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวถึง กล่าวว่า ณ เวลานี้ภาคเอกชนไม่ต้องการอะไร ต้องการความชัดเจนทางการเมืองและได้รัฐบาลโดยเร็ว และเป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพ หนึ่งในปัญหาที่อยากให้รัฐบาลใหม่ได้เข้ามากำกับดูแลคือ ค่าเงินบาทที่เวลานี้แข็งค่ามาก และส่งผลเสียต่อภาคการส่งออกมาก เพราะทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นเมื่อเทียบกับคู่แข่งขัน เฉพาะอย่างยิ่งในสินค้าภาคเกษตรที่ใช้วัตถุดิบในประเทศเป็นส่วนใหญ่ ยอดขายจะหายไปมากจากเงินบาทแข็งค่า

ขอ “มือดี-มีความรู้” แก้เศรษฐกิจ

นายกฤษดา จันทร์จำรัสแสง อุปนายกสมาคมอุตสาหกรรมก่อสร้างไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าวว่า หากพรรคภูมิใจไทยได้จัดตั้งรัฐบาลจริง และต้องยุบสภาภายใน 4 เดือนหลังแถลงนโยบาย ต้องเฟ้นหาทีมเศรษฐกิจที่เป็นคนนอกที่มีความรู้ด้านเศรษฐกิจมหภาคและการค้าระหว่างประเทศ เพื่อเร่งแก้ปัญหาส่งออก ค่าเงินบาทแข็ง และผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐ

ทั้งนี้รัฐมนตรีเศรษฐกิจต้องมองไกล ทั้งการเปิดตลาดใหม่ ลดต้นทุน และปรับรูปแบบสินค้าให้ทันโลก โดยไม่รอให้สถานการณ์ต่างประเทศคลี่คลาย เช่น ช่วงเปลี่ยนผู้นำสหรัฐหลังโดนัลด์ ทรัมป์ พ้นจากตำแหน่ง เพราะหากทำไม่ได้ เศรษฐกิจไทยอาจซบเซาหนักขึ้นทั้งการบริโภคและการส่งออก

ขณะเดียวกัน ภาคท่องเที่ยวก็ยังชะลอตัว รัฐมนตรีที่รับผิดชอบต้องเร่งฟื้นความร่วมมือกับจีน ดึงนักท่องเที่ยวกลับมาให้ได้โดยเร็ว ส่วนภาคก่อสร้างเห็นว่างบปี 2569 ผ่านสภาแล้วจึงไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่ขอให้รัฐเร่งเบิกจ่ายอย่างโปร่งใสจึงจะทำเกิดความมั่นใจ

ชูจุดแข็ง–เร่งฟื้นศก.ในเวลาจำกัด

นายพุฒิพงศ์ ปราสาททองโอสถ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ สายการบินบางกอกแอร์เวย์ส เสนอว่า ทีมเศรษฐกิจชุดใหม่ควรมองภาพรวมของประเทศ และใช้จุดแข็ง ของไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ฝ่าวิกฤตการเมืองและความผันผวน โดยปรับเงื่อนไขให้สอดคล้องกับสถานการณ์จริง และเดินหน้าโครงการที่ชะงักให้ต่อเนื่องผ่านความร่วมมือของทุกฝ่าย

ขณะที่ นายอดิษฐ์ ชัยรัตนานนท์ เลขาธิการสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) ระบุว่า รัฐบาลใหม่แม้มีเวลาแค่ 4 เดือน แต่ควรเร่งดำเนินการ 3 วาระหลัก ได้แก่ 1.ฟื้นความเชื่อมั่นด้านการค้า การลงทุน และท่องเที่ยว 2.แก้ปัญหาความขัดแย้งชายแดนกับเพื่อนบ้าน และ3.ปราบปรามคดีอาชญากรรมและเสริมความปลอดภัยคนไทยและนักท่องเที่ยว

พร้อมเสนอว่าทีมเศรษฐกิจควรมีภาพลักษณ์น่าเชื่อถือ เป็นที่ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ และบริหารได้ทันทีโดยไม่ต้องเรียนรู้งานใหม่ โดยเสนอชื่อ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ อดีตรัฐมนตรีท่องเที่ยวฯ กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง ขณะที่แหล่งข่าวระดับสูงจากผู้ประกอบการศูนย์การค้ามองว่า ไม่ได้คาดหวังมากจากรัฐบาลเฉพาะกิจ เพราะมีเวลาเพียง 4 เดือน เอกชนต้องพึ่งพาตัวเองในการขับเคลื่อนธุรกิจต่อไป

3 วาระเร่งด่วน-ฟื้นฐานราก

นายวิศิษฐ์ ลิ้มลือชา รองประธานกรรมการหอการค้าไทย เสนอ 3 วาระเร่งด่วนที่รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ นายอนุทิน ชาญวีรกูล ควรเร่งดำเนินการในช่วง 4 เดือน คือ 1.เริ่มกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) แม้ยังไม่สามารถแก้ได้ทันที แต่ต้องวางฐานเพื่อความร่วมมือของพรรคร่วมรัฐบาลในระยะยาว 2.บริหารงบประมาณให้มีประสิทธิภาพ ใช้เงินที่มีอยู่ให้เกิดผลต่อเศรษฐกิจจริง โดยเน้นการหมุนเวียนในระบบ มากกว่าการตั้งโครงการใหม่ 3.เพิ่มขีดความสามารถภาคเอกชนและเกษตรกรวิเคราะห์จุดอ่อนของแต่ละกลุ่ม และสนับสนุนให้ปรับตัวทันการเปลี่ยนแปลงของโลก

“ประเด็นสำคัญที่อยากให้เกิดขึ้นมากที่สุดคือการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ได้ภายใน 4 เดือน โดยมีเป้าหมายทำให้ SMEs และผู้ประกอบการรายเล็กกว่า 80% ของประเทศเดินหน้าต่อได้ โดยไม่เน้นแจกเงิน แต่ควรสร้าง ระบบนิเวศธุรกิจ ที่เอื้อต่อการเข้าถึงแหล่งทุนและการฟื้นฟูกิจการอย่างยั่งยืน เพราะปัญหาหลักเวลานี้คือ เงินไม่หมุน ทั้งฝั่งผู้บริโภคและผู้ผลิต”

เสนอ “รัฐครึ่ง-เอกชนครึ่ง”เพิ่มจ้างงาน

ดร.ฉัตรชัย ตวงรัตนพันธ์ เลขาธิการสมาพันธ์ผู้ค้าปลีกแห่งเอเชียแปซิฟิก (FARPA) เสนอให้รัฐบาลใหม่เร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยเน้นกลุ่มผู้บริโภคทุกระดับ ผ่านแนวคิด Shopping & Wellness Tourism เช่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าลักชัวรี กระตุ้นนักท่องเที่ยวใช้จ่าย และดึงจุดแข็งด้านสุขภาพของไทยสร้างดีมานด์ในกลุ่มรายได้กลาง-บน

สำหรับกลุ่มกลาง-ล่าง โดยเฉพาะแรงงานในระบบกว่า 12 ล้านคน เสนอให้ลงทุนในการพัฒนาทักษะ (Up-skill / Re-skill) ผ่านสถาบันฝึกอบรม โดยมีใบรับรองเพื่อรับเงินตอบแทนจากรัฐ และเกิดการหมุนเวียนในระบบนอกจากนี้ เสนอโครงการ “รัฐครึ่ง เอกชนครึ่ง” จ้างงานใหม่โดยรัฐช่วยจ่าย 50% ของเงินเดือน (ไม่เกิน 7,500 บาท) นาน 6 เดือน สำหรับแรงงานตกงาน บัณฑิตจบใหม่ และผู้ด้อยโอกาส เพื่อฟื้นกำลังซื้อและลดอัตราว่างงาน