“ปลาหมอคางดำ” กินได้ กำจัดได้ พลิกวิกฤติสร้างรายได้สู่ชุมชนไทย

23 ส.ค. 2568 | 09:57 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ส.ค. 2568 | 10:30 น.

จากปลาต่างถิ่นที่ถูกมองว่าเป็นตัวร้าย ทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ วันนี้ “ปลาหมอคางดำ” กลับกลายเป็นทั้งแหล่งโปรตีนฟรี ช่องทางสร้างรายได้ให้ชุมชนไทย

KEY

POINTS

  • ปลาหมอคางดำเป็นปลาต่างถิ่นที่สามารถรับประทานได้ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และนำมาปรุงอาหารได้หลากหลายเมนู
  • การส่งเสริมให้ประชาชนจับและบริโภคปลาหมอคางดำ เป็นแนวทางสำคัญในการควบคุมและลดการแพร่ระบาดในแหล่งน้ำธรรมชาติ
  • สามารถเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ โดยการนำปลามาแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ เช่น ปลาแดดเดียว น้ำปลา หรือขนมขบเคี้ยว เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ชุมชน

วันนี้ คนไทยยังรับรู้ข้อมูล “ปลาหมอคางดำ” ในมุมที่จำกัด จำเป็นต้องเพิ่มความเข้าใจมากขึ้น ซึ่งปลาชนิดนี้ไม่ใช่แค่ปลาต่างถิ่นที่รุกรานแหล่งน้ำธรรมชาติของไทย แต่คือ “ความท้าทาย” ที่ทุกคนต้องร่วมกันแก้ไขเร่งด่วนและต่อเนื่อง ป้องกันไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความหลากหลายทางชีวภาพของสัตว์น้ำพื้นถิ่น อัยจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อมของประเทศ หากยังคงหลงทาง

ผู้บริโภคจำนวนไม่น้อยยังลังเลว่า “ปลาหมอคางดำ” กินได้จริงหรือไม่ ความจริงก็คือ ปลาหมอคางดำเป็นปลาที่รับประทานได้ มีคุณค่าทางโภชนาการสูง โดยเฉพาะโปรตีนที่ไม่ต่างจากปลาที่เราคุ้นเคย เช่น ปลานิล หรือ ปลาช่อน ยิ่งกว่านั้น ยังเป็น “แหล่งโปรตีนฟรี” จากธรรมชาติ ที่ไม่ต้องลงทุนเลี้ยง ไม่ต้องเสียค่าอาหารสัตว์ เพียงแค่ออกแรงจับมันขึ้นมาจากน้ำเท่านั้น

ทุกครั้งที่จับ “ปลาหมอคางดำ” มาปรุงอาหาร ไม่ว่าจะ ย่าง แกง ทอด หรือ ทำเป็นเมนูพื้นบ้านอื่น ๆ นั่นคือ การสร้างคุณค่าให้สิ่งที่เคยถูกมองเป็นปัญหา

                           “ปลาหมอคางดำ” กินได้ กำจัดได้ พลิกวิกฤติสร้างรายได้สู่ชุมชนไทย

การแก้ปัญหาประชากร “ปลาหมอคางดำ” ไม่อาจอาศัยรอแต่มาตรการของภาครัฐเพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยพลังของประชาชน ทุกคนร่วมกัน “จับและกิน” ให้มากที่สุด ยิ่งจับปลาออกจากแหล่งน้ำได้เร็วเท่าไร ก็ยิ่งลดการแพร่พันธุ์และการกระจายตัวได้มากเท่านั้น 

“การกำจัดด้วยการบริโภค” ทุกคนสามารถทำได้ และทำได้ง่ายๆ ในชีวิตประจำวัน ทั้งยังเป็นการมีส่วนร่วมโดยตรง ในการรักษาสิ่งแวดล้อม หรือ แหล่งน้ำในชุมชนที่มีการแพร่ระบาดของปลา

จับปลาหมอคางดำแล้ว 3 ล้านกิโลกรัม

รายงานของกรมประมง ณ วันที่ 19 สิงหาคม 2568 สามารถจับ “ปลาหมอคางดำ” แล้วมากกว่า 3 ล้านกิโลกรัม ส่วนใหญ่ส่งไปผลิตเป็นปุ๋ยหมัก (น้ำหมักชีวภาพ) และล่าสุดยังได้อนุมัติงบประมาณในการรับซื้อปลาเพิ่มเติม เพื่อกระตุ้นให้มีการจับปลาหมอคางดำจากแหล่งน้ำธรรมชาติมากขึ้น ซึ่งจะผลดีต่อการเดินหน้าตามมาตรการของกรมฯ ในการควบคุมปลาให้อยู่ในพื้นที่จำกัดได้ตามเป้าหมาย รวมถึงการส่งเสริมให้ชุมชนนำไปผลิตอาหาร เช่น น้ำปลา และ อาหารแปรรูปอื่นๆ เช่นน้ำพริก และ ปลาแดดเดียว

                         “ปลาหมอคางดำ” กินได้ กำจัดได้ พลิกวิกฤติสร้างรายได้สู่ชุมชนไทย

ปลาหมอคางดำ คือ โอกาสในการสร้างรายได้ของชุมชนและครัวเรือน ไม่ว่าจะปรุงเป็นเมนูอาหารประจำวัน กินไม่หมดยังแปรรูป ถนอมด้วยวิธีการหลายรูปแบบ เพื่อเก็บไว้กินในวันหน้า หรือ เพิ่มมูลค่าสร้างรายได้ เช่น ปลาส้ม ปลาร้า ปลาแดดเดียว ซึ่งเป็นเมนูพื้นฐาน ที่หากพัฒนายกระดับสร้างสรรค์เป็นผลิตภัณฑ์ปลาอบกรอบ หรือ ปลาสแน็ค ก็เป็นโอกาสที่น่าสนใจทั้งสิ้น 

ชุมชนควรรวมพลังกันแปรรูปและจำหน่าย ปัญหาปลากลายเป็นโอกาสสร้างรายได้เสริม และยังเป็นการสร้างตลาดใหม่ที่เชื่อมโยงผู้บริโภคกับผู้ผลิตโดยตรง ทั้งร้านอาหาร และ ตลาดออนไลน์ 

ช่วงเวลานี้ไม่ใช่การหาต้นตอของปลาเข้าในประเทศ แต่คือ การลงมือทำร่วมกัน ทั้งภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคเอกชน และ ภาคประชาชน 

                           “ปลาหมอคางดำ” กินได้ กำจัดได้ พลิกวิกฤติสร้างรายได้สู่ชุมชนไทย

ขณะที่รัฐบาลควรสนับสนุนการวิจัยเรื่องสายพันธุ์ และ คุณค่าทางโภชนาการของปลาหมอคางดำอย่างเป็นระบบ เพื่อสร้างความมั่นใจในการบริโภค และวางแผนการจัดการที่ยั่งยืน 

ขณะเดียวกัน ประชาชนต้องร่วมกัน จับ กิน และ แปรรูป เพื่อลดจำนวนปลาในแหล่งน้ำ ตลอดจนสร้างความตระหนักรู้ใหม่ให้เกิดขึ้นในสังคมไทย ว่า “ปลาหมอคางดำ กินได้ กำจัดได้ สร้างรายได้” 

รวมพลังกันพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส เพื่อแหล่งน้ำที่อุดมสมบูรณ์ เพื่ออาหารที่ปลอดภัย และเพียงพอ และ เพื่อชุมชนที่เข้มแข็งยั่งยืน