เปิดประตูให้ “หมูสหรัฐ” จุดท้าทายความมั่นคงทางอาหารไทย

15 ส.ค. 2568 | 03:47 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ส.ค. 2568 | 04:02 น.

การนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐอเมริกาเป็นประเด็นที่กำลังถูกจับตามองอย่างมากในสังคมไทย หัวข้อถกเถียงไม่ได้มีเพียงมิติทางเศรษฐกิจ แต่ยังพาดพิงถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค ความอยู่รอดของเกษตรกรรายย่อย และภาพรวมความมั่นคงทางอาหารของประเทศ

แม้จะไม่เห็นด้วยกับการนำเข้าเนื้อหมูจากสหรัฐ แต่ก็ต้องยอมรับความจริงว่าการกีดกันไม่ให้หมูสหรัฐเข้ามาโดยสิ้นเชิงนั้นแทบเป็นไปไม่ได้ในระบบการค้าโลกยุคใหม่ สหรัฐฯ เองได้ปรับสัดส่วนการผลิตหมูที่ไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดง (แรคโตพามีน) จากเดิม 20% เป็น 50% ของการผลิตทั้งหมด สิ่งนี้หมายความว่า หากไทยกำหนดมาตรฐาน “ปลอดสารเร่ง” สหรัฐฯ ก็สามารถปรับไลน์ผลิตเพื่อส่งเข้ามาได้ทันที ดังนั้น จึงเป็นเงื่อนไขพื้นฐานที่ควรจะต้องระบุว่า ไทยจะรับเฉพาะหมูปลอดสารเร่งเนื้อแดงเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากังวลไม่ใช่แค่เรื่องแรคโตพามีนเท่านั้น แต่คือมาตรการ Post-Clearance Audit (PCA) ที่รัฐบาลไทยพูดถึงในการเจรจากับสหรัฐ โดยมาตรการนี้ออกแบบมาเพื่อลดขั้นตอนการตรวจปล่อยสินค้านำเข้า ซึ่งเหมาะกับสินค้าที่ไม่เสี่ยงต่อการปนเปื้อน เช่น เครื่องจักรหรืออุปกรณ์ ที่ต้องติดตั้งก่อนค่อยตรวจสอบ  แต่มันไม่เหมาะกับอาหารสดที่ต้องตรวจสอบก่อนปล่อยสู่ตลาด อย่าลืมว่าเมื่อเนื้อหมูแช่แข็งผ่านเข้าตลาดแล้ว กระจายขายออกไปแล้ว หากตรวจพบปัญหาในภายหลัง การเรียกคืน (Recall) นั้นแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย เพราะต่างจากอาหารกระป๋องที่สามารถติดตามล็อตสินค้าได้ง่าย

เปิดประตูให้ “หมูสหรัฐ” จุดท้าทายความมั่นคงทางอาหารไทย

ในมิติของผู้บริโภคต้องถามว่า “ของราคาถูกนั้นคุ้มกับความเสี่ยงหรือไม่” สหรัฐฯไม่มีทางส่งเฉพาะชิ้นส่วนคุณภาพสูงมาให้ไทย แต่มีความเป็นไปได้สูงมากว่าจะส่งชิ้นส่วนที่ผู้บริโภคอเมริกันไม่นิยม เช่น หัวหมู ขาหมู เครื่องในหมู เช่น ตับหมู ไส้หมู หรือพุง  แม้แต่หมูสามชั้นก็เป็นชิ้นส่วนราคาถูกในตลาดของเขา เนื่องจากเขาไม่กินแต่จะนำไปแปรรูปเป็นเบคอนแทน

ขณะที่ชิ้นส่วนสามชั้นในบ้านเรากลับเป็นชิ้นส่วนที่มีราคาแพง ปัญหาคือชิ้นส่วนเหล่านี้มีความเสี่ยงปนเปื้อนเชื้อโรคอย่างสเตรปโตค็อกคัส (Streptococcus), ซาโมเนลลา(Salmonella),  หรือ คลอสตริเดียม (Clostridium) ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียก่อโรค โดยเฉพาะโรคที่เกี่ยวกับอาหารเป็นพิษ และระบบตรวจสอบความปลอดภัยอาหารของสหรัฐฯ ไม่ได้ครอบคลุมถึงจุดนี้ จึงเป็นอีกจุดหนึ่งที่ไทยต้องตั้งเงื่อนไขป้องกันเชื้อเหล่านี้ให้รัดกุม

ในเชิงเศรษฐกิจ ปริมาณการนำเข้าแม้จะพูดง่าย ๆ ที่ตัวเลขเพียง 1% ของการบริโภคหมูทั้งประเทศ แต่เมื่อเทียบกับการผลิตหมู 18 ล้านตัวต่อปี นั่นหมายถึงปริมาณนำเข้าราว 9,000–10,000 ตัน ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขน้อย ๆ และยากที่รัฐจะควบคุมให้ไม่ทะลุโควตาดังกล่าว ผลกระทบนี้จะรุนแรงมากกับผู้เลี้ยงหมูรายย่อยและรายกลางซึ่งไม่มีแบรนด์หรือระบบการตลาดเพียงพอในการแข่งขัน

ทางรอดสำหรับเกษตรกรทุกคน คงไม่ใช่แค่การพยายามลดต้นทุนการผลิตเพื่อแข่งขันกับเนื้อหมูนำเข้าเพียงอย่างเดียว แต่ต้องพยายามยกระดับมาตรฐานการผลิตเพื่อให้ได้เนื้อหมูที่มีคุณภาพดีและมีความปลอดภัยสำหรับการบริโภค ในขณะที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องให้ความรู้กับผู้บริโภคเพื่อให้เกิดความตระหนักถึงเรื่องความปลอดภัยและคุณภาพของเนื้อที่จะนำมาบริโภค ไม่ใช่จ้องจะลดระดับมาตรฐานความปลอดภัยของเราเอง

ทีมไทยแลนด์ที่ทำหน้าที่เจรจาควรมีความรู้รอบตัวให้มาก อย่าหวังเพียงแก้กฎหมายให้ได้หมูราคาถูก แต่ควรเข้าใจว่าประเทศไทยจะต้องรับมือด้วยมาตรการที่ไม่ใช่การกีดกันทางการค้า แต่ใช้มาตรฐานสากลด้าน Food Safety และ Food Security สร้างเงื่อนไขบังคับให้หมูนำเข้าจากสหรัฐ ต้องผ่านมาตรฐานเดียวกับหมูไทย เช่น HACCP, ISO, และมาตรฐานสุขอนามัยปศุสัตว์ ควบคู่กับการห้ามใช้ PCA กับสินค้าสดอย่างเด็ดขาด รวมถึงต้องมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ (Traceability) ที่เข้มงวด

ท้ายที่สุด การปกป้องตลาดและความปลอดภัยของผู้บริโภคไม่ใช่การปิดประตูการค้า แต่คือการตั้งเงื่อนไขให้ทุกฝ่ายแข่งขันกันบนมาตรฐานเดียวกัน เพื่อไม่ให้การเจรจาการค้าครั้งนี้กลายเป็นดาบสองคมที่บั่นทอนความมั่นคงทางอาหารของชาติ

บทความโดย : น.สพ.นิพนธ์ ตันติพิริยะพงศ์ อดีตนายกสมาคมนิสิตเก่าสัตวแพทยศาสตร์ ม.เกษตรศาสตร์