วันพฤหัสบดีที่ 14 สิงหาคม 2568 นายสัตวแพทย์สมชวน รัตนมังคลานนท์ อธิบดีกรมปศุสัตว์ เป็นประธานการประชุม "ขับเคลื่อนปราบปรามการลักลอบใช้สารเร่งเนื้อแดง" กล่าวว่า ให้เจ้าหน้าที่ปศุสัตว์ทั่วประเทศ ให้ปฏิบัติตามนโยบายนายอรรถกร ศิริลัทธยากร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ที่ได้ประกาศจุดยืนไม่ใช้สารเร่งเนื้อแดงในประเทศไทย พร้อมย้ำถึงอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงที่จะส่งผลต่อความปลอดภัยของผู้บริโภค
ปัจจุบันกรมปศุสัตว์ได้มีการปราบปรามการใช้สารใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างเข้มงวด และดำเนินการอย่างต่อเนื่อง อาทิ เช่น การปฏิบัติงานที่ผ่านมาตั้งแต่ 25 พฤศจิกายน 2567 ถึง กรกฏาคม 2568 มี ได้มีการเข้าตรวจสอบในฟาร์มโคขุน จำนวน 241 ฟาร์ม ตรวจพบสารเร่งเนื้อแดง จำนวน 4 ราย อยู่ระหว่างขั้นตอนการดำเนินคดี ตรวจสอบโรงฆ่าโค จำนวน 16 แห่ง และสอบสวนย้อนกลับฟาร์มโคแหล่งที่มาจำนวน 6 ฟาร์ม พบการใช้สารเร่งเนื้อแดง 3 ฟาร์ม ดำเนินคดีและศาลพิพากษาคดีแล้ว จำนวน 3 ราย และตรวจสอบในฟาร์มสุกรขุน จำนวน 3,857 แห่ง ตรวจพบการใช้สารเร่งเนื้อแดง จำนวน 14 ราย ซี่งอยู่ระหว่างการดำเนินคดี
อธิบดีกรมปศุสัตว์ได้สั่งการเพิ่มเติมถึงให้มีการประสานงานกับตำรวจเพื่อบังคับใช้กฎหมายในการดำเนินคดี สอบสวนถึงต้นตอของผู้ลักลอบนำสารเร่งเนื้อแดงมาใช้ในประเทศไทยต่อไป
ทั้งนี้ กรมปศุสัตว์เป็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับความปลอดภัยทางอาหาร (food safety) กำกับ ดูแลความปลอดภัย ในการผลิตสินค้าปศุสัตว์ตลอดห่วงโซ่ ตั้งแต่วัตถุดิบอาหารสัตว์ โรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มเลี้ยงสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ โรงแปรรูป ตลอดจนสถานที่จำหน่าย และการส่งออก ซึ่งทุกขั้นตอนการผลิตต้องมีคุณภาพมาตรฐาน ตามที่กำหนดไว้ในกฎหมาย มาตรฐานสากล หรือเงื่อนไขของประเทศคู่ค้า เพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภค สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ผู้บริโภคภายในประเทศ รวมถึงสร้างความเชื่อมั่นแก่ประเทศคู่ค้าการส่งออกผลิตภัณฑ์ปศุสัตว์ ที่ผ่านมาได้ดำเนินการป้องกันและปราบปรามการใช้สารเร่งเนื้อแดงอย่างต่อเนื่อง
“สารเร่งเนื้อแดง” ที่มักพบการลักลอบใช้ ได้แก่ ซาลบูทามอล (Salbutamol) เคลนบูเทอรอล (Clenbuterol) และแรคโทพามีน (Ractopamine) ซึ่งมีคุณสมบัติในการกระตุ้นการสร้างโปรตีนในกล้ามเนื้อและลดการสะสมไขมัน จึงถูกนำมาใช้ผิดวัตถุประสงค์ในการเลี้ยงสัตว์ปศุสัตว์ โดยเมื่อนำสารชนิดนี้ไปผสมอาหารสำหรับเลี้ยงในฟาร์มสุกรและโคขุน จะทำให้ได้เนื้อสัตว์ที่มีสีแดงสด ชั้นไขมันบาง ซึ่งเป็นที่ต้องการของตลาด แต่ก่อให้เกิดการตกค้างในผลิตภัณฑ์จากสัตว์ เมื่อผู้บริโภคทานผลิตภัณฑ์จากสัตว์ที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างเข้าไป จะทำให้กระสับกระส่าย ใจสั่น มือสั่น กล้ามเนื้อกระตุก ปวดศีรษะ คลื่นไส้ และความดันโลหิตสูง โดยจะอันตรายมากขึ้นในหญิงมีครรภ์ ผู้ป่วยโรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง ในผู้ที่แพ้ หรือได้รับสารในปริมาณมากอาจเกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะถึงขั้นเสียชีวิตได้
“สารเร่งเนื้อแดง” เป็นวัตถุที่ห้ามใช้ผสมในอาหารสัตว์ ตามประกาศกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เรื่อง กำหนดวัตถุที่ห้ามใช้เป็นส่วนผสมในอาหารสัตว์ พ.ศ. 2559 ตามความในมาตรา 6(4) แห่งพระราชบัญญัติควบคุมคุณภาพอาหารสัตว์ พ.ศ. 2558 หากตรวจพบการฝ่าฝืน มีโทษตามมาตรา 71 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
นอกจากนี้ ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข (ฉบับที่ 269) พ.ศ. 2546 เรื่อง มาตรฐานอาหารที่มีการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ กำหนดให้อาหารทุกชนิดมีมาตรฐาน โดยตรวจไม่พบการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์และเกลือของสารกลุ่มนี้ อาหารที่มีสารเร่งเนื้อแดงตกค้างถือว่าผิดมาตรฐาน ตามมาตรา 25(3) แห่งพระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ. 2522 มีมีโทษตามมาตรา 60 ต้องระวางโทษปรับไม่เกินห้าหมื่นบาท