“คยปท.” บุกทำเนียบฯ พรุ่งนี้ ร้องแก้ปัญหาราคาปาล์ม ยาง ผวาภาษีทรัมป์ทุบราคาตกต่ำ

28 ก.ค. 2568 | 10:56 น.
อัปเดตล่าสุด :28 ก.ค. 2568 | 11:01 น.

ผวาแรงกระแทกภาษีทรัมป์ ภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เข้ากรุง บุกทำเนียบ พรุ่งนี้เช้า ส่วนบ่าย เข้าพบผู้ว่าการ กยท. แก้ปัญหาเงินเซสส์ จัดเก็บลดลง ผลพวงราคาตกต่ำ ชาวสวนยางเลิกปลูกพืชหันไปปลูกพืชอื่นแทน

นายทศพล ขวัญรอด ประธานภาคีเครือข่ายเกษตรกรชาวสวนยางพารา ปาล์มน้ำมันแห่งประเทศไทย (คยปท.) เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า กำลังอยู่ระหว่างการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ โดยในวันพรุ่งนี้ (29 ก.ค.68) จะยื่นหนังสือที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงนายกรัฐมนตรี และช่วงบ่ายจะเดินทางเข้าพบ ดร.เพิก เลิศวังพง ประธานบอร์ด และรักษาการผู้ว่าการ กยท. ถึงเรื่อง แนวทางแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำกว่าต้นทุนทุนการผลิต มาจากปัญหาเศรษฐกิจโลกในปัจจุบันส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อประเทศไทย กระทบเกษตรกรชาวสวนยางได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสยิ่งกว่าที่เคยเป็นมา

 

“คยปท.” บุกทำเนียบฯ พรุ่งนี้ ร้องแก้ปัญหาราคาปาล์ม ยาง ผวาภาษีทรัมป์ทุบราคาตกต่ำ

“ประเทศไทยกำลังเผชิญกับกับกับกับภาษีสหรัฐอเมริกา ในอัตราสูงถึง 36%  และหนี้ครัวเรือนที่พุ่งสูง ซึ่งสมาคมธนาคารไทยได้ระบุว่าเศรษฐกิจไทยกำลังเผชิญกับ "วิกฤตช้อนวิกฤต" ดังนั้น คณะกรรมการภาคีเครือข่ายฯ จึงได้จัดการประชุมระดมความคิดเห็นเพื่อหาแนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอีกไม่กี่วันข้างหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคส่วนยางพาราที่ต้องแข่งขันกับยางสังเคราะห์ซึ่งสามารถใช้ทดแทนยางธรรมชาติได้เกือบ100%  และในปัจจุบันยังมีการขยายพื้นที่ปลูกยางธรรมชาติเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ ส่งผลให้ประเทศไทยมีคู่แข่งในอนาคตเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก คณะกรรมการภาคีเครือข่ายฯ (คยปท.) จึงมีความวิตกกังวลเป็นอย่างยิงและได้พิจารณาแนวทางแก่ไขวิกฤตการณ์นี้เพื่อความอยู่รอดของยาชีพเกษตรกรยางพาราและปาล์มน้ำมัน ดังนั้นข้อเสนอ

 

การปรับปรงพันธุ์ยางพารามาจากปัญหาเรื่องพันธ์ยางที่ประเทศไทยปลูกอยู่ในปัจจุบันนั้น ประมาณร้อยละ 70 เป็นพันธุ์  RRIM ซึ่งให้ผลผลิตประมาณ 220 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี ซึ่งไม่คุ้มค่ากับการลงทุนปลูกยางพันธุ์นี้  ซึ่งประเทศมาเลเซียซึ่งเป็นเจ้าของพันธุ์ รัฐบาลได้ประกาศยกเลิกการส่งเสริมการปลูกพันธุ์นี้มาเกือบ 30  ปีแล้ว แต่ประเทศไทยยังคงมีการปลูกถึงร้อยละ 70 ของพื้นที่ปลูกยางทั้งหมด

ดังนั้นจึงขอให้เร่งรัดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ซึ่งกำกับดูแลพระราชบัญญัติควบควบคุมยาง พ.ศ. 2542 ตามมาตรา 5 ที่สามารถดำเนินการเปลี่ยนพันธ์ยางได้ ให้เร่งรัดดำเนินการโดยด่วนเพื่อส่งเสริมให้เกษตรกรเปลี่ยนมาปลูกยางพันธุ์ PRIT 3904 และ 251  ซึ่งให้น้ำยางสูงถึง 400 กิโลกรัมต่อไร่ต่อปี เพื่อทดแทนยางพันธุ์เก่า ส่วนยางพันธุ์เก่า ทางคณะกรรมการภาคีเครือข่าย (คยปท.)  เสนอใช้ "อิทธิพลพลัส" ซึ่งผ่านการวิจัยมาแล้ว ทาบริเวณรอยกรีดยางเพื่อเพิ่มผลผลิตน้ำยางได้อีกหนึ่งเท่าตัว โดยไม่ทำให้เปลือกยางแห้ง และห้ามนำเข้าน้ำยางข้นทุกชนิด เนื่องจากมีผลกระทบต่อราคาในประเทศ

นอกจากประเด็นข้างต้นแล้ว มีปัญหาการจัดเก็บเงินเซสส์ ของการยางแห่งประเทศไทยที่ลดลง อย่างต่อเนื่องในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ( 2565-2567) รวม 1,106 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงสถานการณ์ วิกฤตราคายางที่ทำให้เกษตรกรลดพื้นที่ปลูกยางลงและหันไปปลูกปาล์มน้ำมันและทุเรียนแทน หากสถานการณ์นี้ยังคงดำเนินต่อไปโดยไม่มีการแก้ไข จะส่งผลให้เงินเซสส์ ที่จัดเก็บได้ลดลงจนไม่เพียงพอต่อการบริหารงานตามมาตรา 49 (1)-(6) ของพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558

 

“คยปท.” บุกทำเนียบฯ พรุ่งนี้ ร้องแก้ปัญหาราคาปาล์ม ยาง ผวาภาษีทรัมป์ทุบราคาตกต่ำ

ด้วยเหตุนี้ทางภาคีเครือข่ายฯ จึงขอเสนอ เพิ่มเติมให้ท่านรัฐมนตรีพิจารณาตั้งคณะทำงานเพื่อแก้ไขพระราชบัญญัติการยางแห่งประเทศไทย พ.ศ. 2558 โดยเพิ่มเติมขอบเขตให้ครอบคลุมถึงปาล์มน้ำมัน และเปลี่ยนชื่อเป็นพระราชบัญญัติยางและปาล์มน้ำมัน แห่งประเทศไทย พ.ศ. .... เพื่อก่อให้การบริหารจัดการพืชเศรษฐกิจทั้งสองชนิดเป็นไปอย่างบูรณาการ และมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น เพื่อต่อไปในอนาคตการแก้ไขปัญหายางพารา และปาล์มน้ำมันจะได้มีเสถียรภาพ เพื่อสร้างความมั่นคงในชีวิตให้แก่เกษตรกรอย่างยั่งยืน