"ทรัมป์"ประกาศภาษี 36% “หมูไทย” ความมั่นคงอาหารที่ต้องปกป้อง

07 ก.ค. 2568 | 21:47 น.
อัปเดตล่าสุด :08 ก.ค. 2568 | 00:24 น.

ไม่บ่อยนักที่ “หมู” จะกลายเป็นตัวละครเอกบนเวทีการเมืองระหว่างประเทศ แต่ในนาทีนี้ สุกรได้กลายเป็นหนึ่งในสินค้าหัวตารางของโต๊ะเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐอเมริกา

ภายใต้แรงกดดันจากมาตรการทางภาษีที่ล่าสุดโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเก็บภาษีสินค้าไทยสูงถึง 36% ก่อนเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคม

ก่อนหน้านี้ทีมเจรจาของไทยนำโดยรองนายกรัฐมนตรี พิชัย ชุณหวชิร อยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ต่างจากการเดินบนเชือกเส้นเดียวเหนือเหวลึก เบื้องหน้าคือการรักษาความสัมพันธ์กับประเทศคู่ค้าอันดับต้น ๆ ของไทย ขณะที่เบื้องหลังคือชะตากรรมของเกษตรกรไทยหลายแสนชีวิตที่อาจต้องล้มครืน หากมีการเปิดนำเข้าสุกรจากสหรัฐฯ โดยไร้หลักประกัน

สหรัฐฯ ส่งสัญญาณชัดเจนว่า ต้องการให้ไทยเปิดตลาดให้สินค้าทางการเกษตรของพวกเขามากขึ้น โดยเฉพาะหมูแปรรูปจากฟาร์มอุตสาหกรรมที่ใช้ต้นทุนต่ำกว่าไทยมาก และมักใช้สารเร่งเนื้อแดง (ractopamine) ซึ่งไทยประกาศห้ามใช้อย่างเด็ดขาด ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของผู้บริโภค

"ทรัมป์"ประกาศภาษี 36% “หมูไทย” ความมั่นคงอาหารที่ต้องปกป้อง

ข้อเสนอของสหรัฐฯ อาจดู “น่าสนใจในเชิงตัวเลข” สำหรับนักเศรษฐศาสตร์บางสาย แต่สำหรับผู้เลี้ยงหมูไทยแล้ว มันคือฝันร้ายที่ทำลายได้ทั้งอาชีพ ครอบครัว หรือแม้แต่ชีวิตเลยทีเดียว

สมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติเคยออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ โดยยืนยันว่าหากรัฐบาลยอมเปิดตลาดให้หมูสหรัฐฯ ไหลทะลักเข้ามา โดยเฉพาะหมูราคาถูกที่ไม่ได้มาตรฐานตามกฎหมายไทย เกษตรกรจะไม่สามารถแข่งขันได้ และฟาร์มขนาดเล็ก-กลาง ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของระบบปศุสัตว์ไทย จะต้องล้มหายตายจากในเวลาอันรวดเร็ว

ไม่ใช่แค่ฟาร์มหมูเท่านั้นที่จะเดือดร้อน แต่อุตสาหกรรมอาหารสัตว์ทั้งระบบ ตั้งแต่ผู้ปลูกข้าวโพด ถั่วเหลือง ไปจนถึงโรงงานผลิตอาหารสัตว์ โรงฆ่าสัตว์ และตลาดสดทั่วประเทศ จะได้รับผลกระทบลุกลามเป็นลูกโซ่  นี่ไม่ใช่เรื่องของ “สินค้า” อย่างเดียวอีกต่อไป  แต่มันคือ “ความมั่นคงทางอาหาร” คือ “โครงสร้างเศรษฐกิจฐานราก”  และคือ “อธิปไตยของผู้บริโภคไทย”

ถ้าไทยยอมเปิดตลาดให้กับสินค้าเกษตรที่ขัดต่อมาตรฐานด้านสุขภาพของเราเอง แล้วจะรักษาความมั่นใจของประชาชนต่อระบบอาหารไทยได้อย่างไร?

ท่ามกลางกระแสกดดันจากสหรัฐฯ ทีมเจรจาของไทยยังคงรักษาจุดยืนอย่างมีศักดิ์ศรี โดยรองนายกฯ พิชัย ยืนยันหนักแน่นว่า ทีมของเขาจะไม่ยอมทำข้อตกลงที่บั่นทอนผลประโยชน์ระยะยาวของชาติ พร้อมย้ำว่าจะเสนอข้อตกลงที่เป็น “win-win อย่างแท้จริง” ซึ่งทั้งไทยและสหรัฐฯ จะได้ประโยชน์ร่วมกัน โดยไม่ต้องแลกมาด้วยชีวิตของเกษตรกร

หนึ่งในข้อเสนอที่ทีมไทยกำลังผลักดันคือ การเปิดตลาดนำเข้าสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ ในหมวดที่ “ไม่เป็นภัย” ต่อระบบอาหารของไทย เช่น ข้าวโพดและถั่วเหลืองที่ใช้เป็นวัตถุดิบอาหารสัตว์ ซึ่งไทยมีความต้องการอยู่แล้วในบางฤดูกาล รวมถึงผลไม้เมืองหนาว เช่น แอปเปิล เบอร์รี่ หรือเชอร์รี่ ที่ไทยยังไม่สามารถผลิตได้ในเชิงพาณิชย์

แนวทางนี้นับเป็น“ข้อแลกเปลี่ยนที่สมเหตุสมผล” สหรัฐฯได้ขยายการส่งออกสินค้าเกษตร ไทยได้รักษาความมั่นคงทางอาหารและสุขภาพของประชาชน และเกษตรกรผู้เลี้ยงสุกรยังสามารถอยู่รอดต่อไปได้โดยไม่ต้องแข่งขันอย่างไม่เป็นธรรม

นี่คือท่าทีของประเทศที่รู้จักเลือกยืนอย่างสง่างาม ไม่ใช่ก้มหน้าเพียงเพื่อเอาตัวรอดในระยะสั้น เพราะหากวันนี้เรายอมแพ้ในจุดเล็ก ๆ อย่างหมูและเครื่องในหมู วันข้างหน้าเราก็อาจต้องยอมในสินค้าอื่น ๆ ที่อาจส่งผลกระทบยิ่งกว่านี้ ทั้งผลิตภัณฑ์ประมง อาหารแปรรูป หรือแม้แต่พืชดัดแปลงพันธุกรรม

แม้การเจรจาในรอบนี้ยังไม่สามารถปิดดีลได้ แต่การที่ทีมไทยไม่รีบเซ็นลงชื่อในข้อตกลงที่ “ขายผลประโยชน์ชาติ” เพื่อเลี่ยงภาษี ถือเป็นท่าทีที่ควรได้รับเสียงชื่นชมมากกว่าคำตำหนิ ในยามที่หลายฝ่ายเรียกร้องให้ “คิดแบบนักธุรกิจ” ทีมเจรจาของไทยเลือกที่จะ“คิดแบบผู้รักษาแผ่นดิน” เพราะเกษตรกรคือหัวใจของความมั่นคง เพราะผู้บริโภคต้องได้กินของดี และเพราะการเจรจาทางการค้า ไม่ควรมีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง

ดังนั้นจึงขอชื่นชมรองนายกฯ พิชัยและทีมเจรจา ที่ยังคงใช้ “สมองในการต่อรอง” และ “หัวใจในการยืนหยัด” เพื่อรักษาผลประโยชน์ของไทยในสนามการค้าระหว่างประเทศ  การค้าระหว่างประเทศไม่จำเป็นต้องมีผู้แพ้ หากทุกฝ่ายยอมฟังกันอย่างมีเหตุมีผล และหากประเทศไทยยังคงยึดมั่นในหลักการนี้ต่อไป เชื่อว่าไม่เพียงแต่จะได้ “ดีลที่ดี”  แต่จะได้ “อนาคตที่มั่นคง” กลับคืนมาด้วย 

บทความโดย :  ลักขณา นิราวัลย์ นักวิชาการด้านปศุสัตว์