3 ฉากทัศน์ภาษีสหรัฐตอบโต้ไทย ใครได้-ใครเสีย ในสมรภูมิการแข่งขันกับอาเซียน

29 มิ.ย. 2568 | 08:03 น.
อัปเดตล่าสุด :29 มิ.ย. 2568 | 08:20 น.

คำประกาศของประธานาธิบดี “โดนัลด์ ทรัมป์” ล่าสุดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2568 ว่าจะเรียกเก็บภาษีจากประเทศคู่ค้าในอัตรา 25% ภายในสัปดาห์ครึ่งนับจากนี้ ได้กดดันระบบการค้าโลกครั้งใหม่

ขณะที่นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐ แสดงความเชื่อมั่นเกี่ยวกับการเจรจาการค้ากับประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก โดยกล่าวว่า รัฐบาลทรัมป์หวังจะสรุปข้อตกลงการค้ากับประเทศต่าง ๆ ให้ได้ภายในวันแรงงาน หรือวันที่ 1 กันยายน โดยระบุว่ามีการหารือกับคู่ค้า 18 ราย และกำลังมีการปรับแก้ข้อตกลงกับจีนเกี่ยวกับการนำเข้าแร่ธาตุหายาก และแม่เหล็ก

อย่างไรก็ดีในส่วนของประเทศไทยอาจต้องเผชิญชะตากรรมคล้ายหรือเลวร้ายกว่าประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน เพราะการเจรจายังคงอยู่ในกรอบระยะเวลาที่จำกัด หากไทยไม่สามารถโน้มน้าววอชิงตันได้ทันเส้นตายวันที่ 9 กรกฎาคมนี้ (ครบกำหนดที่สหรัฐชะลอการเก็บภาษีตอบโต้ 90 วัน)  และสหรัฐไม่มีการต่อเวลาเส้นตายออกไปอีก

ทั้งนี้ฉากทัศน์ โอกาส และความเสี่ยง สำหรับประเทศไทยในการเจรจากับสหรัฐในครั้งนี้ สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กรณีเป็นอย่างน้อย

  • ฉากทัศน์ที่ 1 : ไทยถูกเก็บภาษี 25% เท่ากับเพื่อนบ้าน

 ผลกระทบ :

แม้จะเป็นอัตราภาษีที่ยังสูง แต่ถือว่าไทยสามารถ “เลี่ยงแรงปะทะ” ได้สำเร็จเมื่อเทียบกับอัตรา 36% เดิม ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ส่งออกไทยจะสามารถรักษาความสามารถแข่งขันในตลาดสหรัฐฯ ได้บางส่วน โดยเฉพาะกับมาเลเซีย (24%) และอินโดฯ (32%)

โดยในกลุ่มสินค้าเกษตรและชิ้นส่วนยานยนต์ จะยังได้รับผลกระทบ แต่ก็พอที่จะเจรจาค่าขนส่ง และต่อรองราคากับผู้ซื้อได้ ส่วนอุตสาหกรรมอาหารแปรรูปและอิเล็กทรอนิกส์ จะยังมีความเสี่ยง แต่ยังอยู่ในกรอบที่ยังสามารถบริหารจัดการได้

  •  ฉากทัศน์ที่ 2 : ไทยถูกเก็บภาษี “สูงกว่า” เวียดนาม อินโดนีเซีย และมาเลเซีย

ปัจจุบันภาษีไทยยังอยู่ที่ 36% ในขณะที่เวียดนาม 46%  แต่หากถูกกำหนดให้เสีย 36% ในขณะที่เพื่อนบ้านได้ลดภาษี เช่น เหลือ 25–28% ย่อมกลายเป็นจุดหักเห

ผลกระทบ :

ศักยภาพการแข่งขันกับสินค้ากลุ่มเดียวกันจากเวียดนาม เช่น ข้าว อาหารทะเลแปรรูป ผลไม้ และเสื้อผ้า จะลดลงทันที ส่วนกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์และรถยนต์ ซึ่งไทยเป็นหนึ่งในผู้นำในอาเซียน จะถูกกดราคา และถูกแย่งตลาดจากโรงงานผลิตที่อยู่ในอินโดนีเซีย และมาเลเซีย โรงงานของบริษัทข้ามชาติอาจพิจารณาย้ายฐานการผลิตไปยังประเทศเพื่อนบ้านที่ได้อัตราภาษีต่ำกว่า

ส่วนในสินค้าเหล็ก และอะลูมิเนียมที่ไทยถูกสหรัฐเก็บภาษีไปก่อนหน้านี้ในอัตรา 25% ผู้ประกอบการจะถูกซ้ำเติมเรื่องกำไรขั้นต้นลดลงไปถึงต่ำกว่า 10% รวมถึงในหลาย ๆ สินค้าก็จะประสบชะตาเดียวกัน

ฉากทัศน์ที่ 3: ไทยได้อัตราภาษี “ต่ำกว่า” เวียดนาม  (เช่น ไทย 25% เวียดนาม 36–46%)

โอกาสที่เกิดขึ้น :

  • ไทยจะกลายเป็นตัวเลือกปลอดภัยของซัพพลายเชนสหรัฐ แทนเวียดนามในหลายกลุ่มสินค้า เช่น อาหาร เกษตร ชิ้นส่วนยานยนต์
  •  นักลงทุนอเมริกันอาจขยายฐานการผลิตมายังไทยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ฮาร์ดแวร์ และพลังงาน
  • สินค้าไทยที่เคยมีต้นทุนสูงกว่าเวียดนามเล็กน้อย อาจกลับมาชิงพื้นที่ในชั้นวางจำหน่ายในสหรัฐได้เพิ่มขึ้น เช่น ผลไม้กระป๋อง ผลิตภัณฑ์จากมะพร้าว เป็นต้น

อย่างไรก็ดี ล่าสุดรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังและรองนายกรัฐมนตรี “พิชัย ชุณหวชิร” ยืนยันว่า คณะเจรจาระดับสูงของไทย จะเดินทางไปยังสหรัฐในสัปดาห์นี้ เพื่อหารือในประเด็นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) ซึ่งนายพิชัยได้ปฏิเสธข่าวลือที่ว่าไทยจะได้รับการลดภาษีเหลือ 18% โดยระบุว่ายังอยู่ในช่วงเจรจาและยังไม่มีข้อตกลงใดอย่างเป็นทางการ

สำหรับกรอบเจรจาของไทยที่ไปเจรจากับสหรัฐในครั้งนี้ ยังอยู่ใน 5 หัวข้อไฮไลต์ ได้แก่

1.เพิ่มการนำเข้าสินค้าสหรัฐ โดยเน้นสินค้าเกษตร เช่น ข้าวโพด ถั่วเหลือง และเชื้อเพลิง ฯลฯ

2.ผ่อนคลาย NTBs  โดยลดข้อจำกัดที่ไม่ใช่ภาษี เพื่อสนับสนุนการนำเข้า

3.ส่งเสริมอุตสาหกรรมร่วม เช่น การผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง

4.ความโปร่งใสเรื่องแหล่งกำเนิดสินค้า เพื่อป้องกันการแอบอ้างสินค้าจากประเทศที่สามว่าเป็น “Made in Thailand” แล้วส่งออกไปสหรัฐ

5.สนับสนุนการลงทุนไทยในสหรัฐ เพื่อสร้างสมดุลในความสัมพันธ์ทางการค้า

ดังนั้นการเจรจาในครั้งนี้ได้พกความคาดหวังของภาคธุรกิจและประชาชนไทยไปอย่างเต็มเปี่ยม พร้อมกับแรงกดดันรอบด้านที่อาจจะมีขึ้นจากฝ่ายสหรัฐเพื่อต่อรองผลประโยชน์จากไทย

การเจรจาครั้งนี้มุ่งหวังจะช่วยบรรเทาภาระภาษีตอบโต้ที่สหรัฐจะเก็บจากไทย โดยอาจลดลงเหลือระดับใกล้มาตรฐานที่ 10–18% (หรือไม่เก็บได้เลยยิ่งดี แต่มีโอกาสเป็นไปได้ยาก) ซึ่งอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับในครั้งนี้ จะเป็นเท่าใดนั้น อีกไม่กี่อึดใจก็จะได้รู้กัน