จากกรณีเมื่อวันที่ 21 มิถุนายน 2568 นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ สั่งการให้กรมการค้าต่างประเทศเพิ่มความเข้มงวดในการควบคุมการนำเข้ามันสำปะหลังจากประเทศกัมพูชา หลังพบความตึงเครียดของสถานการณ์การค้าชายแดน ย้ำจุดยืนรัฐบาลปกป้องเกษตรกรไทยและดูแลเสถียรภาพราคาภายในประเทศและ เพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบการนำเข้าสินค้ามันสำปะหลังทางชายแดนไทย-กัมพูชา เพื่อป้องกันสินค้าคุณภาพต่ำทะลักเข้าสู่ตลาดในประเทศ อันอาจส่งผลกระทบต่อราคามันสำปะหลังที่เกษตรกรไทยได้รับอยู่ในปัจจุบัน
โดยกำหนดจุดที่อนุญาตให้นำมันสำปะหลังเข้ามาจากกัมพูชาได้จำนวน 5 จังหวัด 6 ด่าน ได้แก่ 1.จุดผ่านแดนถาวรบ้านผักกาด จ.จันทบุรี,2.จุดผ่านแดนถาวรบ้านเขาดิน และ 3.จุดผ่อนปรนบ้านตาพระยา จ.สระแก้ว,4ด่านศุลกากรคลองใหญ่ จ.ตราด,5..ด่านศุลกากรช่องจอม จ.สุรินทร์ และ.ด่านศุลกากรช่องสะงำ จ.ศรีสะเกษ
นอกจากนี้ได้สั่งการให้กรมการค้าภายในยังมีมาตรการควบคุมการขนย้ายมันสำปะหลังสดและมันเส้น โดยห้ามขนย้ายสินค้าดังกล่าวในปริมาณตั้งแต่ 10,000 กิโลกรัมขึ้นไป เข้าหรือออกจากพื้นที่ควบคุม 60 อำเภอใน 16 จังหวัด เว้นแต่ได้รับอนุญาต หากฝ่าฝืน ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
ต่อกรณีดังกล่าวนี้ นายรังษี ไผ่สอาด นายกสมาคมชาวไร่มันสำปะหลังแห่งประเทศไทย เผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ไม่แน่ใจว่าทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ใช้อำนาจอะไร เพราะการเปิดหรือปิดด่าน จะต้องใช้มติที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เห็นชอบ แต่ก่อนที่จะเข้าครม.เห็นชอบต้องผ่านคณะมติคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการมันสำปะหลัง (นบมส.) ก่อน แล้วยังผิดกฎหมายหลายข้อเลย ซึ่งก่อนหน้าทางสมาคมฯ เคยส่งหนังสือให้ปิดด่านหรือระงับการนำเข้าชั่วคราวในช่วงเก็บเกี่ยวประมาณต้นปี 2568 ช่วงเดือนกุมภาพันธ์-เดือนเมษายน ทางฝ่ายกรมการค้าต่างประเทศหยิบยกมาอ้างว่าขัดการค้าโลก ทำไม่ได้เพราะเป็นการค้าเสรี
“ตามปฏิทินการเพาะปลูกมันสำปะหลัง นิยมปลูกในช่วงต้นฝน และปลายฝน ต้นฝน การเตรียมดิน และต้นพันธุ์ ช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม,เริ่มปลูก ช่วงเดือน พฤษภาคม - มิถุนายน ใส่ปุ๋ย และกำจัดวัชพืช ช่วงเดือน มิถุนายน ถึงเดือนสิงหาคม เริ่มเก็บเกี่ยว ช่วงเดือน ธันวาคม- มีนาคม ซึ่งหากพิจารณาในช่วงนี้เป็นช่วงฤดูการเพาะปลูกของเกษตรกรไทย เอาเข้ามาไม่เป็นไร แต่ช่วงที่เกษตรกรไทยขุดไม่ควรเอาเข้ามา ที่สำคัญช่วงนี้โรงแป้งต้องขายของไม่มีสินค้าส่งออก แล้วจะได้ประโยชน์อะไร”
ด้านนายชุมพล ขจรเฉลิมศักดิ์ อุปนายกสมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย กล่าวว่า หากไม่มีการนำเข้ามันสำปะหลังเข้ามาก็มีผลกระทบจากที่เคยมีคำสั่งซื้อ ซึ่งหากระยะสั้นไม่กระทบเพราะช่วงนี้ผลผลิตก็มีน้อยที่สุดในรอบปีแล้ว และถ้าจะเข้ามาจำนวนมากต้องช่วงฤดูแล้ง แต่หากไทยไม่มีการนำเข้าก็จะทำให้มันสำปะหลังกัมพูชาไปขายเวียดนาม โดยที่ไม่มีคู่แข่งก็ยิ่งทำให้ต้นทุนเวียดนามถูกลงไปอีก ขณะที่โรงแป้งไทยก็งานน้อยลงไปอีก “ส่วนแรงงานกัมพูชา ที่รัฐบาลมีความประสงค์จะให้แรงงานกลับประเทศ ตั้งคำถามว่าจะเอางานที่ไหน แล้วค่าแรงงานก็ถูกกว่า 1 ใน 3 (ไทยค่าแรง 300 บาท กัมพูชา ค่าแรง 100 บาทต่อวัน) ซึ่งเชื่อว่าอยู่ไม่ได้
"ล่าสุดเพิ่งเห็นคำสั่งด่านกัมพูชาปิดแล้ว จากที่ก่อนหน้านั้นมีคำสั่งด่านเลื่อนเวลาเปิด พอมีเหตุการณ์แบบนี้ก็เข้าใจว่าเป็นความขัดแย้ง แต่ก็ต้องรอดูการเจรจาระหว่างรัฐบาลว่าจะออกมาในรูปแบบไหน แต่ถ้าบานปลาย ระยะยาวก็เหมือนไปส่งเสริมคู่แข่งอย่างเวียดนามให้ได้เปรียบมากขึ้นแล้วมีผลไม่ดีกับการส่งออกไทย ส่วนชาวไร่ก็เข้าใจว่ามันสำปะหลังเข้ามาเยอะทำให้ราคาถูก แต่ความจริงต้องมองที่ผู้ค้า ผู้ส่งออก ที่ไปซื้อมันสำปะหลังเพื่อนบ้านเพราะราคาถูกกว่าไทย และที่ซื้อไม่ได้ก็เพราะมันสำปะหลังไทยแพงกว่า ซึ่งการแข่งขันไปแข่งขันที่ปลายทางก็คือประเทศจีน ทั้งนี้พ่อค้าเมืองไทยจะไปซื้อมันสำปะหลังจาก สปป.ลาวแพงกว่าจะซื้อหรือถ้ามันสำปะหลังเมืองไทยถูกกว่า ต้องมาคิดกลับ ส่วนในเรื่องราคามันสำปะหลังถูกต้องไปแก้ปัญหาในเรื่องต้นทุนการผลิตถึงจะสู้ได้”
นายอำนาจ สุขประสงค์ผล นายกสมาคมการค้ามันสำปะหลังไทย กล่าวว่า ทางสมาคมฯก็มีความเข้าใจและความจำเป็นที่ภาครัฐต้องใช้มาตรการต่างๆ เพื่อดูแลเสถียรภาพของราคาและปริมาณมันสำปะหลังในประเทศ ซึ่งก็เป็นหัวใจสำคัญของการสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับพี่น้องเกษตรกรไทย แต่ทั้งนี้การปิดด่านนำเข้าจากประเทศกัมพูชา เราก็มองว่าเป็นมาตรการเครื่องมือหนึ่งของรัฐในการใช้บริหารจัดการเพื่อรักษาสมดุลและราคาของตลาดภายในประเทศ
โดยมีเป้าหมายพยุงราคาหัวมันสำปะหลังไม่ให้ราคาต่ำเกินไป เพื่อประโยชน์ของเกษตรกรผู้ปลูกมันสำปะหลัง แต่อย่างไรก็ตามสมาคมก็ยังคงต้องติดตามว่าผลกระทบมาตรการนี้อย่างใกล้ชิดทั้งในระยะยาว ระยะสั้น เพื่อให้แน่ใจว่าในการดำเนินการจะเกิดประโยชน์สูงสุดทุกภาคส่วน ทั้งห่วงโซ่อุปทานอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทยและทางสมาคมก็พร้อมที่จะทำงานกับภาครัฐและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่าย เพื่อประเมินผลกระทบและหาแนวทางที่เหมาะสมที่สุดในการสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับอุตสาหกรรมมันสำปะหลังไทย
“ในเร็วๆ นี้ จะมีการประชุมร่วมกันกับ 3 สมาคม ได้แก่ สมาคมโรงงานผลิตภัณฑ์มันสำปะหลังไทย สมาคมโรงงานผู้ผลิตมันสำปะหลัง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และสมาคมแป้งมันสำปะหลังไทย เพราะช่วงปิดตอนนี้เป็นช่วงปลายฤดูกาลของไม่ได้มาก และผู้ประกอบการก็ยังไม่ได้มีผลกระทบมากนัก ตอนนี้ถึงแม้ว่ายังไม่ได้ปิดทีเดียวและเป็นช่วงปลายฤดูกาลทำให้ราคาในประเทศก็ปรับราคาขึ้นมาเล็กน้อย”
นายอำนาจ กล่าวว่า ฤดูกาลใหม่เกรงว่าผลผลิตจะเพียงพอไหม แล้วทาง 4 สมาคมเร่งรัฐบาลอยู่ว่าเดิมเคยผลิตได้ 35 ล้านตัน ปัจจุบันเหลือ 22 ล้านตัน และคาดว่าผลผลิตรอบใหม่ คาดว่าจะอยู่ 20 ล้านตัน จะไม่เพียงพอก็อาจจะต้องนำเข้ามาเพิ่มขึ้น เพราะพิจารณาจากตัวเลขทางกรมศุลกากร ในปี 2567 ไทยมีการนำเข้าจากกัมพูชา หัวมันสด 1.4 ล้านตัน และมันเส้น 9.6 แสนตัน แต่ในปี 2568 ตั้งแต่เดือนตุลาคม 2567 ถึงเดือนเมษายน 2568 มีการนำเข้าหัวมันสดลดลง แต่ว่ามันเส้นเพิ่มขึ้น
“สำหรับสัดส่วนโรงแป้ง คาดว่าจะใช้หัวมันสดในประเทศไทย ใช้ปีละ 24-25 ล้านตัน ส่วนมันเส้น คาดว่าจะนำเข้ามาจากเพื่อนบ้าน หากสถานการณ์เป็นอย่างนี้มองว่าผลผลิตไม่เพียงพอ เพราะจากโรคใบด่างมันสำปะหลังได้ระบาดแล้วกระจายไปทั่วประเทศแล้ว จะทำอย่างไรให้เกษตรกรไทยมีท่อนพันธุ์มันสำปะหลังที่ดีเพื่อที่จะให้ผลผลิตต่อไร่สูงขึ้น ปัจจุบันเหลือ 2 ตันต่อไร่ ลดลงจากเดิม 3.2 ตันต่อไร่ ดังนั้นถ้ายังไม่แก้ไขพันธุ์มันฯ ก็จะมีผลทำให้ผลผลิตต่อไร่ต่ำลง มีต้นทุนที่สูงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูกาลที่ผ่านมาเกษตรกรขายได้ 1.40-1.60 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้ขาดทุน”
นายอำนาจ กล่าวว่า ทางสมาคมอยากให้เสนอรัฐบาลแก้ปัญหาให้ถูกทาง โดยจะต้องมาดูแลในเรื่องดังนี้ 1.จัดหาท่อนพันธุ์มันต้านทานโรคที่ดีเพื่อเพิ่มผลผลิตต่อไร่ 2.ลดต้นทุนการผลิต ใช้สารเคมีลดลง ที่สำคัญหากจัดการท่อนพันธุ์ที่ดีจะทำให้เชื้อแป้งเปอร์เซนต์สูงขึ้น เพราะปัจจุบันโรงแป้ง ตั้งข้อสังเกตว่าเกษตรกรใช้ท่อนพันธุ์คุณภาพไม่ดีมาปลูก ทำให้เชื้อแป้งต่ำ ก็มีผลทำให้โรงแป้งมีต้นทุนเพิ่ม
สรุปก็คือต้องทำอย่างไรให้เชื้อแป้งสูงขึ้นก็ต้องจัดหานำพันธุ์ที่ดีมาส่งเสริมให้เกษตรกรปลูก เสริมความมั่นคงในอุตสาหกรรมมันสำประหลังของประเทศ เพื่อลดการพึ่งพาการนำเข้าวัตถุดิบจากประเทศเพื่อนบ้าน ได้ในที่สุด จากนี้ไปเราก็ไม่อยากแก้ปัญหาที่ปลายทางแล้ว อยากแก้ปัญหาที่ต้นทางเบ็ดเสร็จเลย
“ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการนโยบาย และบริหารจัดการมันสำปะหลัง(นบมส.) ของบกลาง 852 ล้านบาท ขยายให้ได้ 2,600 ไร่ โดยของกลาง ซึ่งแยกเป็น 1. ขยายพันธุ์ทนทาน ประมาณ 200 ล้านบาท 2. ขยายพันธุ์ต้านทาน ประมาณ 200 ล้านบาท 3. ระบบน้ำ และอื่น ๆ ประมาณ 450 ล้านบาท ซึ่งไปติดค้างที่ ครม. ก็อยากให้รัฐบาลลงทุนในส่วนนี้ เชื่อว่าจะมีผลดีในระยะยาวและสามารถแข่งขันในตลาดโลกได้” นายอำนาจ กล่าวในตอนท้าย