สำนักงานนโยบายและยุทธศาสตร์การค้า รายงานว่า ธุรกิจโลจิสติกส์มีจำนวนนิติบุคคลรวม 45,613 ราย โดยเปิดกิจการใหม่ 300 ราย เพิ่มขึ้น 7.9% และปิดกิจการ 33 ราย ลดลง 26.7% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ธุรกิจโลจิสติกส์ที่น่าจับตามอง คือการขนส่งและขนถ่ายสินค้ารวมถึงคนโดยสาร ซึ่งเปิดกิจการใหม่ จำนวน 165 ราย โดยมีจำนวนมากเป็นอันดับ 1 ของธุรกิจโลจิสติกส์ที่เปิดใหม่ทั้งหมด และมีอัตราการเติบโต 19.6% เมื่อเทียบกับเดือนเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่การลงในต่างประเทศในธุรกิจโลจิสติกส์ เดือนมีนาคม 2568 มูลค่า 2,019.04 ล้านบาท คิดเป็น 30.42% ของการลงทุนใน กลุ่มโลจิสติกส์ในประเทศไทย สัญชาติที่มีการลงทุนมากที่สุด ได้แก่ เนเธอร์แลนด์แอนทิลลีส จีน กัมพูชา สิงคโปร์ และไต้หวัน
สำหรับธุรกิจที่ต่างชาติเข้ามาลงทุนมากที่สุด ได้แก่ กิจกรรมการบริหารจัดการด้านการขนส่งและสถานที่เก็บสินค้าคิดเป็น 44.92% ของการลงทุนจากต่างชาติในกลุ่มโลจิสติกส์ในประเทศไทย
ปัจจุบันจีนพัฒนาโครงสร้างของด่านโหย่วอี้กวนแบบอัจฉริยะ (Smart Port) เสร็จแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดสอบระบบโดยคาดว่า จะสามารถให้บริการได้ในเดือนมิถุนายน 2568 ซึ่งเมื่อเปิดใช้งานระบบอัจฉริยะจะทำให้ด่านสามารถรองรับปริมาณรถบรรทุกเขา้ออกด่านเพิ่มขึ้นจากเดิมประมาณ 1,200 –1,500 คันต่อวัน เป็น 2,800 – 3,000 คันต่อวัน ลดแรงงานในการตรวจสอบ 50 % ประหยัดต้นทุนของการขนส่งสินค้ากว่า 1,000 หยวนต่อตู้ สามารถดำเนินงานได้ตลอด 24 ชั่วโมง และช่วยให้การขนส่งสินค้าจากเมืองฮานอยถึงเมืองหนานหนิงจะใช้เวลาภายใน 24 ชั่วโมง
ด้านกัมพูชา ประสบความสำเร็จในการเชื่อมโยงระบบขนส่งในห่วงโซ่ความเย็น (Cold Chain) ระหว่างท่าเรือเกาะกงกับท่าเรือฝางเฉิงก่าง ในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงของจีน ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขนส่งสินค้าที่ต้องรักษาอุณหภูมิ เช่น อาหารสด โดยเส้นทางดังกล่าวจะใช้เวลาเพียง 7 วัน ซึ่งเป็นการลดระยะเวลาขนส่งได้มากกว่า 50% และลดต้นทุนการขนส่งลงมากกว่า 20%
ขณะที่อียิปต์ประกาศความพร้อมเปิดให้บริการคลองสุเอซ โฉมใหม่ภายในปี 2568 สอดคล้องกับสถานการณ์ในทะเลแดง ที่มีแนวโน้มผ่อนคลายความตึงเครียดลง
โดยคลองสุเอซโฉมใหม่นี้ได้พัฒนาบริการที่เกี่ยวข้องกับการเดินเรือ เช่น การซ่อมแซมและบำรุงรักษาเรือ การเติมเชื้อเพลิง การเก็บ และกำจัดขยะ และบริการเปลี่ยนลูกเรือ รวมถึงการขุดลอกคลองสุเอซ เพื่อขยายทางเดินเรือและเพิ่มความลึกในบางช่วง
การที่สหรัฐฯ ประกาศมาตรการจัดเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับหลายประเทศ ส่งผลกระทบต่อการค้าระหว่างประเทศและห่วงโซ่อุปทานทั่วโลก กระตุ้นให้ประเทศคู่ค้าใช้มาตรการตอบโต้กลับ หรือหันมาเจรจาแลกเปลี่ยนผลประโยชน์กับสหรัฐฯ และทำให้ต้นทุนการผลิตของอุตสาหกรรม ภายในของสหรัฐฯ ตลอดจนค่าครองชีพของชาวอเมริกันปรับตัวสูงขึ้น
นอกจากนั้น ยังกระทบต่อธุรกิจบริการโลจิสติกส์ที่เกี่ยวข้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เช่น ตัวแทนดำเนินพิธีการศุลกากร ที่จะต้องปฏิบัติตามกฎระเบียบและเอกสารตามมาตรการดังกล่าว ซึ่งยังขาดความชัดเจนและอาจเพิ่มภาระต้นทุนและระยะเวลาดำเนินงาน
อย่างไรก็ตาม สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มจะใช้มาตรการตอบโต้อื่น ๆ โดยเฉพาะต่อจีน เช่น ข้อเสนอของส านักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ที่จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมการเข้าเทียบท่าสหรัฐฯจากเรือของผู้ประกอบการขนส่งจีนและเรือที่ต่อโดยจีนจำกัด การใช้เรือขนส่งในท่าของสหรัฐฯ ในกลุ่มสินค้าที่กำหนดและจำกัดการใช้แพลตฟอร์ม รวมถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลโลจิสติกส์กับฝ่ายจีน ซึ่งหากมีผลบังคับใช้ก็อาจทำให้ต้นทุนการขนส่งสินค้าผ่านท่าเรือของสหรัฐฯ สูงขึ้น
ทั้งนี้ข้อมูลจากแดชบอร์ดธุรกิจบริการโลจิสติกส์ของ สนค. ชี้ให้เห็นว่า ในปี2567 ไทยมีการค้ากับสหรฐั ฯ ทั้งการส่งออกและนำเข้ามูลค่า 2.62 ล้านล้านบาท โดยเป็นการขนส่งทางเรือเป็นหลัก สัดส่วน 61.29% รองลงมาคือการขนส่งทางเครื่องบิน สัดส่วน 37.17%
การค้าระหว่างประเทศของไทย - สหรัฐฯ ปี 2567 ทางเรือมีมูลค่า 4.56 หมื่นล้านดอลลาร์ คิดเป็นสัดส่วน 61.29% ของการค้าระหว่างประเทศของไทยกับสหรัฐฯ ขยายตัวจากปีก่อนหน้า 0.62% โดยไทยมีมูลค่าการส่งออก 3.42 หมื่นล้านดอลลาร์ และมีมูลค่า การนำเข้า 1.15 หมื่นล้านดอลลาร์
ทั้งนี้ ไทยมีสินค้าส่งออกและนำเข้ากับสหรัฐฯ ทางเรือที่สำคัญดังนี้ มูลค่าการส่งออกกับสหรัฐฯ ทางเรือสูงสุด 3 อันดับแรก
สินค้าที่ไทยมีมูลค่านำเข้ากับสหรัฐฯ ทางเรือสูงสุด 3 อันดับแรก
ทั้งนี้ สหรัฐฯ มีท่าเรือที่รองรับการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศกระจายอยู่ตามรัฐ ต่าง ๆ ทั่วประเทศ กว่า 299 แห่ง โดยท่าเรือ 10 อันดับแรกที่มีมูลค่าการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศสูงสุดในสหรัฐฯ ปี 2567 มีดังต่อไปนี้
อันดับ 1: Port of Los Angeles and Long Beach (San Pedro Bay Port Complex) ท่าเรือลอสแอนเจลิสและลองบีชมูลค่า 398,300 ล้านดอลลาร์
อันดับ 2: Port of New York and New Jersey ท่าเรือนิวยอร์ก/นิวเจอร์ซีย์ มูลค่า 209,500 ล้านดอลลาร์
อันดับ 3: Port of Savannah ท่าเรือซาวานนาห์มูลค่า 118,090 ล้านดอลลาร์
อันดับ 4: Port of Houston ท่าเรือฮิวสตัน มูลค่า 104,950 ล้านดอลลาร์
อันดับ 5: Port of Virginia ท่าเรือเวอร์จิเนียมูลค่า 103,400 ล้านดอลลาร์
อันดับ 6: Port of Charleston ท่าเรือชาร์ลสตันมูลค่า 79,360 ล้านดอลลาร์
อันดับ 7: Port of Seattle-Tacoma ท่าเรือซีแอตเทิล-ทาโคมามูลค่า 61,400 ล้านดอลลาร์
อันดับ 8: Port of Oakland ท่าเรือโอ๊คแลนด์มูลค่า 48,780 ล้านดอลลาร์
อันดับ 9: Port of Miami ท่าเรือไมอามี มูลค่า 28,320 ล้านดอลลาร์
อันดับ 10: Port of Philadelphia ท่าเรือฟิลาเดลเฟียมูลค่า 18,790 ล้านดอลลาร์