นายกสมาคมฯ ไขคำตอบ “หมูแพง” จริงหรือ? ผวานโยบาย“ทรัมป์” บีบตายหมู่

26 เม.ย. 2568 | 07:00 น.

ช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมามีเสียงสะท้อนจากผู้บริโภคที่มีต่อราคาเนื้อหมูดังระงมทั่วประเทศว่า ราคาแพงเกินไป โดยเฉพาะหมูสามชั้น ราคาพุ่งทะยานสูงสุด 220-230 บาทต่อกิโลกรัม ทำให้เกิดแรงกระเพื่อม บั่นทอนความเชื่อมั่นของประชาชนที่มีต่อรัฐบาล

เนื่องจากนับตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคสำคัญ ๆ ต่างทยอยปรับขึ้น ส่งผลให้ประชาชนมี “ค่าครองชีพ” ที่พุ่งสูงขึ้น สวนทางกับ “รายได้” ที่ไม่ได้เพิ่มขึ้น “ฐานเศรษฐกิจ” สัมภาษณ์ “นายสิทธิพันธ์ ธนาเกรียรติภิญโญ” นายกสมาคมผู้เลี้ยงสุกรแห่งชาติ ถึงต้นเหตุและปัญหา รวมทิศทางแนวโน้มราคาสุกร ในปี 2568

 

นายกสมาคมฯ ไขคำตอบ “หมูแพง” จริงหรือ? ผวานโยบาย“ทรัมป์” บีบตายหมู่

ล้มลุกคลุกคลานกว่าจะมีกำไรรอบ 7 ปี

นายสิทธิพันธ์ กล่าวว่า ราคาหมูหน้าฟาร์มที่ปรับราคาขึ้นเป็น 88 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) ในเวลานี้ เป็นผลมาจากโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกรโดยการตัดวงจรลูกสุกรทำหมูหันปี 2567 สนับสนุนเงินค่าลูกสุกรขนาด 3-7 กก.ต่อตัวไม่เกินตัวละ 400 บาท ปริมาณเป้าหมาย 75,000 ตัว ประกอบกับแม่พันธุ์ในขณะนั้นก็มีโรคสร้างความเสียหายไปด้วย ทำให้ผลผลิตลดลง นอกจากนี้ผู้เลี้ยงขาดทุนได้เลิกเลี้ยงไปเป็นจำนวนมาก

สำหรับราคาหมูหน้าฟาร์มล่าสุด ทำให้ผู้เลี้ยงมีกำไรในรอบ 7 ปี จากที่ขาดทุนสะสมมาตั้งแต่ ปี 2562 จนกระทั่งมาโดนโรคระบาดซํ้าเติมในปี 2565 จากโรคอหิวาต์แอฟริกาในสุกร ส่งผลทำให้ราคาเนื้อสุกรปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมราคาเฉลี่ยในปี 2562 จาก กก.ละ 67.77 บาท เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย กก.ละ 98.69 บาทในปี 2565 จากผลผลิตหายไปจากโรคระบาด

จากนั้นในปี 2566 การผลิตเริ่มฟื้นตัวขึ้น โดยผลผลิตปรับเพิ่มขึ้นจากปี 2565 คิดเป็นร้อยละ 28.69 ส่งผลทำให้ราคาสุกรมีชีวิตปรับลดลงร้อยละ 24.25 ซึ่งต้นทุนการผลิตเฉลี่ยปี 2566 (ซื้อสุกรมาเลี้ยงขุนเอง) อยู่ที่87.85 บาทต่อ กก. และต้นทุนการผลิตเฉลี่ย  (ผลิตลูกสุกรเอง) 82.92 บาทต่อ กก. ปี 2567 มีต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (ซื้อลูกสุกรมาเลี้ยงขุน) 69.82 บาทต่อ กก. และต้นทุนการผลิตเฉลี่ย (ผลิตลูกสุกรเอง) 78.54 บาทต่อ กก.

 

นายกสมาคมฯ ไขคำตอบ “หมูแพง” จริงหรือ? ผวานโยบาย“ทรัมป์” บีบตายหมู่

โดยราคาหมูหน้าฟาร์มเฉลี่ย ปี 2566 เท่ากับ 74.75 บาทต่อ กก. ส่วนราคาเฉลี่ย ปี 2567 เท่ากับ 63.37 บาทต่อ กก. ส่งผลทำให้ในปี 2566 เกษตรกรขาดทุนเฉลี่ย 8.17-12.83 บาทต่อ กก. และปี 2567 ขาดทุนเฉลี่ย 6.45-15.17 บาทต่อ กก. จึงทำให้เกิดโครงการรักษาเสถียรภาพราคาสุกรจากรัฐบาลเพื่อช่วยเหลือเกษตรกร

“ปัจจุบันราคาต้นทุนการผลิตจริงของเกษตรกรอยู่ที่ประมาณ 76 บาทต่อกิโลกรัม รวมค่าบริหารจัดการแล้ว ราคาที่สมาคมประกาศอยู่ที่ 88 บาทต่อกิโลกรัม เพราะต้องไปบวกเพิ่มส่วนต่างในส่วนของค่าขนส่ง เพราะแต่ละภูมิภาคต้องขนส่งข้ามจังหวัด ข้ามอำเภอ ที่แต่ละจังหวัดอยู่ห่างไกลแตกต่างกัน ถือเป็นโอกาสดีที่ผู้เลี้ยงจะได้ทุนคืนมาบ้าง”

 

“เลี้ยงหมู ที่ไม่หมู”                                                                                                                 

นายสิทธิพันธ์ กล่าวในรายละเอียดอีกว่า แม่พันธุ์หมู สามารถออกลูกได้ต่อรอบต่อปี ในอดีต 18-23 ตัว ปัจจุบันแม่พันธุ์มีสายพันธุ์ที่ให้ลูกดกมากขึ้นจากการพัฒนาสายพันธุ์ ทำให้ได้ลูกขั้นตํ่า 28 ตัว สูงสุด 36 ตัว หากลงทุนซื้อแม่พันธุ์ 1 ตัวราคา 8,000 บาท มาผลิตลูกหมูขุน บวกเลือกสายพันธุ์อีก 5,000 บาท ราคาเฉลี่ยตัวละ 13,000-14,000 บาท ซึ่งต้นทุนการเลี้ยงเกษตรกรแต่ละรายก็ไม่เท่ากัน ส่วนกรณีซื้อลูกหมูขุนมาเลี้ยง ปัจจุบันราคาตามท้องตลาดเฉลี่ย 2,200-2,300 บาทต่อตัว เลี้ยงไป 4 เดือนกว่า นํ้าหนัก 100 กิโลกรัม ขายได้ 8,500 บาท ก็นำมาหักต้นทุนหมูที่ซื้อมาตัวละ 2,300 บาท หักค่าอาหาร 4,500-4,700 บาท และยังมีค่าบริหารจัดการ ค่าแรงงาน ค่าขนส่ง และอื่นๆ

นายกสมาคมฯ ไขคำตอบ “หมูแพง” จริงหรือ? ผวานโยบาย“ทรัมป์” บีบตายหมู่

“ยกตัวอย่างเลี้ยงเดือนมกราคม กว่าจะขายได้ก็เดือนพฤษภาคม ถ้านํ้าหนักไม่ได้ก็ต้องเลี้ยงต่อ ก็เป็นต้นทุนอีก ปัจจุบันหมูโตช้า เพราะอากาศร้อน บวกกับเทศกาลสงกรานต์ กับเทศกาลเชงเม้ง ทำให้คนรับประทานหมูเพิ่มขึ้นก็ทำให้ความต้องการรับประทานหมูในระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนี้พอฝนตก สถานการณ์อากาศเริ่มเย็นแล้วหมูจะคืนสภาวะปกติ เพราะผู้บริโภคมีทางเลือกอื่นมากขึ้น หากเปรียบเทียบราคาหมูหน้าฟาร์มในตลาดอาเซียน มาเลเซีย ราคาสูงสุด กิโลกรัมละ 100 บาท รองลงมาเมียนมา และกัมพูชา ราคากว่า 90 บาท ส่วนเวียดนามกับไทยราคาใกล้เคียงกัน”

 

ผวานโยบาย “ทรัมป์” บีบตายหมู่

อย่างไรก็ดี อาชีพการเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าเป็นอาชีพเลี้ยงไก่ ไก่ไข่ หมู เป็นอาชีพที่พออยู่ได้ ภาครัฐต้องสนับสนุนมากกว่านี้ ไม่ใช่สนับสนุนแค่พืชไร่ ซึ่งต้นทุนการผลิตที่สูงมีส่วนสำคัญจากวัตถุดิบอาหารสัตว์ ขณะที่เวลานี้โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐ ยังกดดันไทยเรื่องภาษีนำเข้าสินค้า และรัฐบาลไทยยังจะไปเสนอให้ไทยนำเข้าข้าวโพด ข้าวสาลี ถั่วเหลืองจากสหรัฐเพิ่ม และที่สำคัญจะให้ไทยเปิดตลาดนำเข้าเนื้อหมู เนื้อโคจากสหรัฐ หากไม่มีมาตรการป้องกันที่ดี ต่อไปฟาร์มของเกษตรคงเลิกเลี้ยง

“ในเร็ว ๆ นี้ ทางสมาคมมีแนวคิดจะทำเอ็มโอยูเพื่อทำให้เกษตรกรรายย่อยขายหมูในพื้นที่ ส่วนรายใหญ่ที่มีศักยภาพพยายามดันให้ไปขายนอกพื้นที่ หรือตามโมเดิร์นเทรดเพราะมีมาตรฐานอยู่แล้วรองรับ เพื่อให้เกิดความหลากหลายของธุรกิจและความสมดุลในธุรกิจ ไม่ให้เกิดการกินรวบในธุรกิจหมู”

 

หน้า 9 หนังสือพิมพ์ปีที่ 45 ฉบับที่ 4,091 วันที่ 27 - 30 เมษายน พ.ศ. 2568