จากที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐอเมริกาได้ประกาศปรับขึ้นภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียมจากทั่วโลกในอัตรา 25% มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 2 มีนาคม 2568 นั้น
นายนาวา จันทนสุรคน รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และประธานกิตติมศักดิ์ กลุ่มอุตสาหกรรมเหล็ก สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ภาคเอกชนยังมีความคาดหวังรัฐบาลไทยจะไปเจรจากับสหรัฐเพื่อให้กลับมายกเว้นภาษีนำเข้า หรือไม่ก็ช่วยเจรจาเพื่อแลกเปลี่ยนการนำเข้าสินค้าระหว่างกันให้มากขึ้น เพื่อลดแรงกดดันการขาดดุลการค้าของสหรัฐที่มีต่อไทย และลดแรงกดดันการใช้มาตรการขึ้นภาษีกับสินค้าไทย
ปัจจุบันนอกจากสินค้าเหล็กของไทยจะถูกสหรัฐขึ้นภาษี 25% ไปก่อนหน้าประกาศของทรัมป์แล้ว ผู้ประกอบการในประเทศยังต้องเผชิญการแข่งขันที่รุนแรงจากสินค้าเหล็กจากต่างประเทศ เฉพาะอย่างยิ่งสินค้าเหล็กจากจีน ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมา ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมเหล็กของไทยใช้กำลังการผลิตเฉลี่ยเพียง 28% ของกำลังการผลิตโดยรวม
“อุตสาหกรรมเหล็กค่อนข้างวิกฤต โดยลูกค้ารายใหญ่ที่ใช้เหล็กอยู่ในภาคอุตสาหกรรมก่อสร้าง ใช้เหล็กอยู่ประมาณ 60% ของปริมาณการใช้เหล็กทั้งหมดของประเทศ รองลงมาคืออุตสาหกรรมรถยนต์สัดส่วนประมาณ 25% ซึ่งหวังทั้งสองภาคการผลิตจะกลับมาดีขึ้นช่วยเพิ่มการใช้เหล็ก แต่ที่น่ากลัวคือจีนช่วงหลังที่ถูกสหรัฐขึ้นภาษี ทำให้จีนส่งออกเหล็กไปสหรัฐปีหนึ่งเหลือประมาณ 4-5 แสนตัน ส่งผลเหล็กจีนทะลักเข้ามายังอาเซียน รวมถึงไทยมากขึ้น”
นอกจากนี้ที่น่าห่วง คือประเทศที่นอกเหนือจากจีน เช่น เวียดนาม เกาหลีใต้ ไต้หวัน ซึ่งส่งออกเหล็กไปสหรัฐเป็นหลักล้านตัน การถูกสหรัฐขึ้นภาษี 25% จะส่งผลให้สินค้าเหล็กจากประเทศเหล่านี้จะมุ่งหน้ามาทางอาเซียนมากขึ้น ซึ่งขอให้กระทรวงพาณิชย์ได้นำมาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) และมาตรการปกป้องการนำเข้าที่เพิ่มขึ้น (Safeguard) ในสินค้าเหล็กกลับมาใช้ในรอบ 6 ปี