แนะเอกชนปรับกลยุทธ์ รับมือเวียดนามเก็บ VAT สินค้านำเข้าราคาถูก

23 ก.พ. 2568 | 03:40 น.
อัปเดตล่าสุด :23 ก.พ. 2568 | 03:48 น.

เวียดนามยกเลิกยกเว้น VAT สินค้านำเข้าราคาถูกผ่านบริการขนส่งด่วน กระทบผู้ค้าออนไลน์ต้องปรับกลยุทธ์ แนะผู้ประกอบการไทยตั้งคลังสินค้า-หาตัวแทนจำหน่ายในประเทศเพื่อลดต้นทุน

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ กรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ รายงานว่า เวียดนามยกเลิกการยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับสินค้านำเข้ามูลค่าต่ำที่ส่งผ่านบริการขนส่งด่วน มีผลตั้งแต่วันที่ 18 กุมภาพันธ์ 2568 โดยสินค้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านด่ง (ประมาณ 39.4 ดอลลาร์สหรัฐ) จะต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มในอัตราร้อยละ 10

มาตรการนี้คาดว่าจะสร้างรายได้ให้รัฐประมาณ 2.7 ล้านล้านด่ง (105.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐ) และช่วยสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันระหว่างสินค้าในประเทศกับสินค้านำเข้า รวมถึงป้องกันการลักลอบนำเข้าและหลีกเลี่ยงภาษี

สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครโฮจิมินห์ วิเคราะห์ว่า กฎระเบียบใหม่เกี่ยวกับการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและภาษีนำเข้าสำหรับสินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1 ล้านด่ง จะส่งผลกระทบโดยตรงต่อผู้ขาย ผู้ผลิต และผู้จัดจำหน่าย เนื่องจากภาระภาษีที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ราคาสินค้าสูงขึ้น ส่งผลต่อพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคและความสามารถในการแข่งขันของสินค้านำเข้า

โดยเฉพาะสินค้าราคาถูกที่เคยได้รับการยกเว้นภาษี ก่อนหน้านี้ ผู้ขายจากต่างประเทศสามารถส่งสินค้าราคาถูกเข้ามาในเวียดนามได้โดยไม่ต้องเสียภาษี ทำให้สามารถตั้งราคาจำหน่ายที่ต่ำและแข่งขันกับสินค้าในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เมื่อกฎระเบียบใหม่มีผลบังคับใช้ ต้นทุนด้านภาษีจะถูกผลักไปยังผู้บริโภค ทำให้ราคาสินค้านำเข้าสูงขึ้น อาจส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรมของทั้งผู้ซื้อและผู้ขาย

ในระยะยาว ผู้ขายและผู้ผลิตจากต่างประเทศอาจต้องปรับกลยุทธ์ทางธุรกิจเพื่อรักษาความสามารถในการแข่งขัน หนึ่งในแนวทางที่อาจเกิดขึ้นคือการปรับเปลี่ยนโครงสร้างคำสั่งซื้อ เช่น แทนที่จะส่งสินค้ารายชิ้นผ่านบริการขนส่งด่วน อาจมีการรวมคำสั่งซื้อเป็นล็อตใหญ่และจัดส่งผ่านระบบขนส่งตู้คอนเทนเนอร์ แม้ว่าจะใช้เวลานานขึ้น แต่ต้นทุนต่อหน่วยต่ำลง ทำให้สามารถลดผลกระทบจากภาษีที่เพิ่มขึ้นได้

อีกทางเลือกหนึ่งคือ การตั้งตัวแทนจำหน่ายหรือการสร้างคลังสินค้าในเวียดนามเพื่อจัดเก็บสินค้าไว้ล่วงหน้า วิธีนี้จะช่วยให้สินค้าสามารถจัดส่งถึงลูกค้าได้จากภายในประเทศโดยตรง ลดระยะเวลาการขนส่ง และลดต้นทุนที่เกี่ยวข้องกับการนำเข้าสินค้าแต่ละครั้ง ซึ่งอาจช่วยให้ราคาสินค้าคงที่มากขึ้น

การเปลี่ยนแปลงกฎระเบียบนี้ยังอาจส่งผลต่อโครงสร้างของตลาดอีคอมเมิร์ซในเวียดนาม  ปัจจุบัน แนวโน้มของตลาดออนไลน์มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่รูปแบบ Direct-to-Consumer (D2C) ซึ่งผู้ผลิตหรือผู้ขายจากต่างประเทศสามารถขายสินค้าให้ผู้บริโภคโดยตรงผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ โดยไม่ต้องผ่านตัวกลางและสามารถใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ทางภาษีในการตั้งราคาขายที่แข่งขันได้ อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการบังคับใช้ภาษี ผู้ขายจากต่างประเทศที่ยังคงใช้โมเดล D2C อาจต้องเผชิญกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับผู้ประกอบการไทยที่ต้องการเจาะตลาดเวียดนาม การหาผู้จัดจำหน่ายในประเทศหรือการตั้งคลังสินค้าในเวียดนามอาจเป็นทางเลือกที่ดีเพื่อลดต้นทุนด้านภาษีและค่าขนส่ง  นอกจากนี้ ยังสามารถใช้ประโยชน์จากการมีตัวแทนจำหน่ายในท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือของแบรนด์ ตอบสนองความต้องการของตลาดได้รวดเร็วขึ้น และแข่งขันกับสินค้าภายในประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ

โดยรวมแล้ว นโยบายภาษีใหม่นี้ไม่เพียงแต่ส่งผลกระทบต่อต้นทุนของผู้ขายและราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภค แต่ยังอาจเปลี่ยนโครงสร้างการดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมอีคอมเมิร์ซของเวียดนาม ผู้ประกอบการทั้งในและนอกประเทศจึงจำเป็นต้องปรับตัวให้สอดคล้องกับกฎระเบียบใหม่เพื่อคงความสามารถในการแข่งขันและสร้างโอกาสทางธุรกิจในระยะยาว