KEY
POINTS
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (กพอ.) ครั้งที่ 5/2568 ว่า ที่ประชุมกพอ.ได้เห็นชอบร่างแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลเพื่อรองรับเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2567 – 2570 เพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและบริการด้านดิจิทัลให้มีความทันสมัย รองรับการลงทุนด้านดิจิทัลในอนาคตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้เกิดการพัฒนาเมืองให้น่าอยู่มีความทันสมัยระดับนานาชาติ สามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่อีอีซี ประกอบด้วย 2 แนวทาง ได้แก่ แนวทางที่ 1 พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลให้ทันสมัยรองรับการเข้าสู่เศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล และแนวทางที่ 2 เพิ่มประสิทธิภาพการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีดิจิทัล เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจสังคมและสิ่งแวดล้อม
สำหรับแผนงานและโครงการที่สำคัญ เช่น โครงการยกระดับโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศสู่การเป็นศูนย์กลางแลกเปลี่ยนข้อมูลดิจิทัลของภูมิภาคอาเซียน (ASEAN Digital Hub) โครงการวางแผนผังด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล เพื่อบริหารจัดการโครงข่ายดิจิทัลให้สอดคล้องกับการพัฒนาระบบคมนาคมและสาธารณูปโภคในพื้นที่อย่างมีประสิทธิภาพ
นอกจากนี้แผนงานยกระดับกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรองรับกิจกรรมด้านดิจิทัล แผนงานยกระดับเมืองน่าอยู่อัจฉริยะ แผนงานยกระดับการให้บริการภาครัฐ เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับผู้ประกอบการ และยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน
ทั้งนี้ กพอ. ได้มอบหมายให้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กำกับ ติดตาม และรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามแผนปฏิบัติการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลฯ และให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ใช้เป็นกรอบในการจัดทำร่างแผนปฏิบัติการและการดำเนินงาน รวมถึงขอรับการจัดสรรงบประมาณต่อไป
นายพิพัฒน์ กล่าวต่อว่า ที่ประชุมได้รับทราบรายงานการประเมินผลสัมฤทธิ์ของพระราชบัญญัติเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ. 2561 โดย สกพอ. ได้มอบหมายให้ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช (มสธ.) เป็นที่ปรึกษาในการประเมินผลสัมฤทธิ์
อย่างไรก็ดีได้จัดรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้านผ่านระบบกลางทางกฎหมายเว็บไซต์ www.law.go.th การจัดสัมมนาสร้างความเข้าใจและรับฟังความคิดเห็นจากกลุ่มเป้าหมาย ภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัด รวม 350 คน การจัดสัมภาษณ์เชิงลึกผู้ทรงคุณวุฒิที่เชี่ยวชาญด้านกฎหมาย รวมถึงการรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริหาร และผู้ปฏิบัติงานของ สกพอ.
ทั้งนี้สามารถสรุปการประเมินผลสัมฤทธิ์ของ พ.ร.บ. เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก พ.ศ.2561 ในหัวข้อที่สำคัญ ได้แก่ 1.กฎหมายว่าด้วยเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกยังมีความจำเป็นและสอดคล้องกับการพัฒนาเทคโนโลยีและวิถีชีวิตของประชาชน เนื่องจากพื้นที่อีอีซีเป็นจุดยุทธศาสตร์ด้านการพัฒนาอุตสาหกรรมของประเทศที่มีความก้าวหน้าสู่ระดับสากล และมีวัตถุประสงค์หลักเพื่อส่งเสริมการลงทุนและยกระดับเศรษฐกิจให้มีความสามารถในการแข่งขัน
2. กฎหมายดังกล่าวยังมีผลทำให้เกิดการดำเนินการให้บริการภาครัฐแบบเบ็ดเสร็จครบวงจร เพื่อลดอุปสรรคและต้นทุนในการประกอบกิจการและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ ทั้งนี้กฎหมายดังกล่าวไม่ได้เป็นการซ้ำซ้อนหรือขัดแย้งกับกฎหมายอื่น เนื่องจากเป็นการดำเนินเฉพาะพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเท่านั้น
3.กฎหมายฉบับนี้ยังมีส่วนช่วยลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยเฉพาะบทบาทของกองทุนพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ที่มีวัตถุประสงค์เพื่อการพัฒนาพื้นที่และชุมชน ช่วยเหลือเยียวยาประชาชนและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนา รวมถึงสนับสนุนและส่งเสริมให้ทุนการศึกษาแก่ประชาชนในพื้นที่ ส่งผลให้เกิดการจ้างงานและสร้างรายได้ให้เกิดขี้นอย่างเป็นรูปธรรมอันจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจต่อไป
ขณะเดียวกันที่ประชุมกพอ. ได้รับทราบความก้าวหน้าการพัฒนาเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ปัจจุบัน สกพอ. ได้ขับเคลื่อนให้เกิดการจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ รวม 46 แห่ง รวมที่อยู่ในระหว่างรอเสนอ ครม. เพื่อทราบ 7 แห่ง แบ่งเป็น รูปแบบนิคมอุตสาหกรรม 32 แห่ง รูปแบบเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษเพื่อกิจการพิเศษ 9 แห่ง และรูปแบบที่เอกชนขอจัดตั้งเพื่ออุตสาหกรรมหนึ่งอุตสาหกรรมใดโดยเฉพาะ 5 แห่ง การให้บริการแบบเบ็ดเสร็จครบวงจรของสกพอ. (EEC-OSS) ที่สามารถให้บริการแล้วมากกว่า 50 รายการคำขอ
นอกจากนี้ยังครอบคลุมการขอจัดตั้งเขตส่งเสริมเศรษฐกิจพิเศษ การขอรับสิทธิประโยชน์ และการขออนุมัติอนุญาตตามกฎหมายได้ 7 ฉบับ อาทิ การขุดดินถมดิน การก่อสร้างอาคาร และด้านสาธารณสุข เป็นต้น รวมถึงความคืบหน้าในการจัดเตรียมโครงสร้างพื้นฐานและสาธารณูปโภคและบุคลากรเพื่อรองรับการลงทุนในอุตสาหกรรมเป้าหมาย และการเชื่อมโยงประโยชน์การลงทุนสู่พื้นที่และชุมชน