'กทท.' โชว์ผลงานท่าเรือระนอง ปี 68 ทะลุ 6.4 พันทีอียู รับแลนด์บริดจ์

23 ก.ย. 2568 | 23:00 น.

'กทท.' โชว์ผลงาน ‘ท่าเรือระนอง’ ดันยอดตู้สินค้าปีงบ 68 แตะ 6.4 พันทีอียู หลังส่งออกเมียนมาขยายตัวเพิ่มขึ้น ปักธงแซนด์บ็อกซ์ หนุนแลนด์บริดจ์

KEY

POINTS

  • กทท. คาดการณ์ว่าปีงบประมาณ 2568 ท่าเรือระนองจะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,400 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 140% จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นผลจากการเปลี่ยนเส้นทางของผู้ประกอบการในเมียนมา
  • ท่าเรือระนองถูกวางตำแหน่งเป็นประตูการค้าฝั่งตะวันตก (Western Gateway) เชื่อมโยงการค้ากับกลุ่มประเทศ BIMSTEC และมีการขยายความร่วมมือกับท่าเรือพันธมิตรในภูมิภาค
  • เพื่อรองรับโครงการแลนด์บริดจ์ในอนาคต ท่าเรือระนองจะปรับบทบาทเป็นท่าเรือสนับสนุนสำหรับตลาดเฉพาะ (Niche Market) และทำหน้าที่เป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) สำหรับทดลองระบบโลจิสติกส์ใหม่ๆ

นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันท่าเรือระนองมีศักยภาพรองรับการขนส่งสินค้าทั้งตู้คอนเทนเนอร์และสินค้าทั่วไป โดยมีผลการดำเนินงานในรอบ 11 เดือน (ตุลาคม 2567 - สิงหาคม 2568) มีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,300 ที.อี.ยู. สินค้าผ่านท่า 186,000 ตัน และเรือผ่านท่า 235 เที่ยว

อย่างไรก็ดีคาดว่าตลอดทั้งปีงบประมาณ 2568 นี้ จะมีปริมาณตู้สินค้าผ่านท่า 6,400 ที.อี.ยู. เพิ่มขึ้น 140% และสินค้าผ่านท่า 196,000 ตัน ลดลง 39% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

แม้ปริมาณสินค้าทั่วไปจะปรับตัวลดลงจากการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากประเทศเมียนมา แต่ในภาพรวมยังคงมีสินค้าที่มีการส่งออกเพิ่มขึ้น เช่น กระดาษม้วน ปูนซีเมนต์ อุปกรณ์สุขภัณฑ์ ปุ๋ย เม็ดพลาสติก ยางรถยนต์ เป็นต้น

อีกทั้งการขยายตัวของตู้สินค้าซึ่งเป็นปัจจัยจากสถานการณ์ภายในประเทศเมียนมาที่ทำให้ผู้ประกอบการเปลี่ยนมาใช้เส้นทางผ่านท่าเรือระนองมากขึ้น

รวมถึงการเปิดสัมปทานการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมในประเทศเมียนมา ทำให้มีกลุ่มของเรือสนับสนุนปฏิบัติงานทางทะเลมีการใช้บริการผ่านท่าเรือระนองเพิ่มขึ้น ทั้งหมดนี้สะท้อนถึงศักยภาพและความเชื่อมั่นที่ผู้ประกอบการมีต่อท่าเรือระนอง

อย่างไรก็ดีท่าเรือระนองยังมีข้อได้เปรียบด้านภูมิศาสตร์ที่เชื่อมตรงสู่อ่าวเบงกอล จึงมีบทบาทเชิงยุทธศาสตร์ในการเป็น Western Gateway ของประเทศไทยไปยังกลุ่มประเทศ BIMSTEC และภูมิภาคอื่นๆ ในอนาคต

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า กทท.ได้มีการขยายความร่วมมือกับท่าเรือพันธมิตรในภูมิภาค BIMSTEC และอาเซียน ผ่านการลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) ร่วมกับท่าเรือที่มีศักยภาพในประเทศบังกลาเทศ อินเดีย และศรีลังกา ซึ่งได้มีการประชุมเชิงปฏิบัติการ (Joint Working Group Meeting) อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและหารือแนวทางพัฒนาความร่วมมือเกี่ยวกับท่าเรือระหว่างกันในอนาคต รวมถึงสนับสนุนการค้าและโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ อันจะช่วยผลักดันท่าเรือระนองสู่การเป็นศูนย์กลางการค้าและโลจิสติกส์ที่สำคัญในภูมิภาค ซึ่งการขนส่งสินค้าในเส้นทางระนอง–BIMSTEC ไม่ใช่เพียงแค่การเชื่อมต่อท่าเรือกับท่าเรือ

แต่เป็นการเชื่อมเศรษฐกิจของไทยเข้ากับโอกาสใหม่ในภูมิภาคเอเชียใต้ โดยรัฐบาลไทยพร้อมสนับสนุนการใช้ประโยชน์จากเส้นทางนี้เพื่อขยายโอกาสทางการค้า การลงทุน และการสร้างพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ในระดับภูมิภาค

อย่างไรก็ตามท่าเรือระนองถือเป็นท่าเรือที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการค้าระหว่างประเทศ ด้วยทำเลซึ่งเป็นประตูการค้าสำคัญที่เชื่อมโยงฝั่งอันดามันกับประเทศเพื่อนบ้านในภูมิภาคเอเชียใต้ ตะวันออกกลาง

แอฟริกา ยุโรป รวมถึงกลุ่มประเทศ BIMSTEC อีกทั้งยังตั้งอยู่ในตำแหน่งยุทธศาสตร์สำคัญบนฝั่งทะเลอันดามันของประเทศไทย

นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า กทท. พร้อมเดินหน้าพัฒนาท่าเรือระนองทั้งด้านโครงสร้างพื้นฐานและระบบการบริหารจัดการให้มีความทันสมัยสอดคล้องกับมาตรฐานสากล

เพื่อยกระดับคุณภาพการให้บริการด้านโลจิสติกส์ ผลักดันท่าเรือระนองให้เป็นท่าเรือยุทธศาสตร์ที่สนับสนุนการค้า การขนส่งระหว่างประเทศ ตอบรับการเติบโตของเศรษฐกิจในอนาคต รวมทั้งการจัดหาเครนและเครื่องมือทุ่นแรงใหม่

นอกจากนี้ยังมีการปรับปรุงคลังสินค้าและท่าเทียบเรือ ตลอดจนการเชื่อมโยงเครือข่ายถนน–ราง–อากาศ เพื่อรองรับปริมาณสินค้าที่จะเพิ่มขึ้น และลดการพึ่งพาช่องแคบมะละกา เสริมศักยภาพการแข่งขันของไทยในตลาด BIMSTEC และอาเซียน

สำหรับ Positioning ของท่าเรือระนองในอนาคต หากรัฐบาลเริ่มมีการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ ที่จะเชื่อมโยงท่าเรือชุมพร กับ ท่าเรือระนองแห่งใหม่ เพื่อสร้างเส้นทางลัดการค้าระหว่างอ่าวไทยกับฝั่งอันดามัน

บทบาทของท่าเรือระนองจะปรับบทบาทจากท่าเรือหลัก ไปเป็นท่าเรือสนับสนุนที่เน้นตลาดเฉพาะ (Niche Market) เช่น สินค้าแช่แข็ง สินค้าชายแดนไทย-เมียนมา และสินค้า Fast-track ฯลฯ

ตลอดจนการมุ่งสู่การเป็นฐานโลจิสติกส์และศูนย์กระจายสินค้าที่จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มด้านคลังสินค้า เพื่อสนับสนุนการค้าชายแดนและภูมิภาค (BIMSTEC, South Asia) และดึงดูดธุรกิจ SME หรือธุรกิจท้องถิ่นให้มาใช้บริการ ซึ่งเป็นการพลิกบทบาทจากท่าเรือหลักสู่ฐานสนับสนุนแลนด์บริดจ์

นอกจากนี้ ท่าเรือระนองยังสามารถทำหน้าที่เตรียมเป็นพื้นที่ต้นแบบ (Sandbox) ให้กับโครงการ แลนด์บริดจ์ในเชิงนโยบายและปฏิบัติการ โดยเป็นฐานทดลองระบบโลจิสติกส์หลายด้าน เช่น การเชื่อมโยงการขนส่งต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodal Transport)

ระบบดิจิทัล ระบบการจัดการของกรมศุลกากร และการทดลองโมเดล Green Port เพื่อรองรับมาตรการด้านสิ่งแวดล้อม

ซึ่งการเป็นพื้นที่ต้นแบบนี้จะทำให้ท่าเรือระนองเดิมเป็นแม่แบบสำคัญที่ขยายผลและต่อยอดไปสู่การพัฒนาท่าเรือระนองแห่งใหม่ของโครงการ Land bridge ให้ประสบความสำเร็จในอนาคตได้อย่างยั่งยืนต่อไป

สำหรับข้อมูลทั่วไปท่าเรือระนองมีท่าเทียบเรือ 2 ท่า ได้แก่ ท่าเทียบเรืออเนกประสงค์ความยาว 134 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 500 ตันกรอส และท่าเทียบเรือตู้สินค้าความยาว 150 เมตร รองรับเรือสินค้าไม่เกิน 12,000 เดดเวทตัน

อีกทั้งยังมีร่องน้ำกว้าง 120 เมตร ลึก 8 เมตร จากระดับน้ำลงต่ำสุด ระยะทาง 28 กิโลเมตร ซึ่งเหมาะสมต่อการเดินเรือและการขนส่งสินค้าขนาดใหญ่

นอกจากนี้ยังมีพื้นที่จัดเก็บสินค้าทั้งคลังสินค้า ลานวางสินค้าทั่วไป และลานวางตู้คอนเทนเนอร์ รวมพื้นที่มากกว่า 36,000 ตารางเมตร รองรับตู้คอนเทนเนอร์ได้สูงสุดถึง 648 ที.อี.ยู.