“ดร.สามารถ” ตั้งคำถาม “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เริ่ม 1 ต.ค. ดีลเอกชนลงตัวหรือยัง

31 ก.ค. 2568 | 03:56 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ก.ค. 2568 | 04:03 น.

“ดร.สามารถ” ตั้งคำถาม แนะรัฐเคลียร์ 5 ปมนโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” หลังเตรียมประกาศใช้เริ่ม 1 ต.ค.นี้ ห่วงรัฐชดเชยรายได้เอกชน-แก้สัมปทาน ไม่ทัน

KEY

POINTS

  • ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ ตั้งคำถามถึงความพร้อมของรัฐบาลในการดำเนินนโยบาย "รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย" ที่จะเริ่มในวันที่ 1 ตุลาคม ว่าได้เจรจาตกลงกับเอกชนผู้รับสัมปทานเรียบร้อยแล้วหรือไม่
  • ชี้ว่ารถไฟฟ้าสายที่มีเอกชนร่วมทุน (เช่น สีเขียว, น้ำเงิน, ชมพู, เหลือง) มีสัญญาสัมปทานที่กำหนดโครงสร้างค่าโดยสารไว้ชัดเจน การปรับลดราคาจึงต้องมีการแก้ไขสัญญา
  • ตั้งข้อสงสัย 5 ประเด็นหลักที่รัฐบาลต้องเคลียร์กับเอกชนให้จบก่อนเริ่มนโยบาย เช่น จะใช้ฐานรายได้ใดในการคำนวณเงินชดเชย และจะจัดการกับต้นทุนที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนผู้โดยสารอย่างไร
  • แสดงความกังวลว่าหากการเจรจาและแก้ไขสัญญาสัมปทานไม่เสร็จทันก่อน 1 ตุลาคม เอกชนจะยอมลดค่าโดยสารไปก่อนหรือไม่
  • เตือนว่าหากไม่มีกรอบเจรจาที่รัดกุม อาจทำให้ข้าราชการที่เกี่ยวข้องเสี่ยงถูกฟ้องร้องในภายหลัง กรณีถูกกล่าวหาว่าชดเชยเงินเกินจริงหรือเอื้อประโยชน์ให้เอกชน

ดร.สามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครและรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ โพสต์เฟซบุ๊กว่ารัฐบาลประกาศชัดเจนว่า “1 ตุลาคมนี้” จะเริ่มใช้นโยบาย “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย ทุกสาย ทุกสี” เพื่อลดภาระค่าครองชีพ และส่งเสริมการเดินทางด้วยระบบราง ซึ่งประหยัดทั้งเวลา เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม และตอบโจทย์เมืองใหญ่

นโยบายนี้สะท้อนเจตนาดีของรัฐบาล แต่คำถามสำคัญคือ รัฐพร้อมแค่ไหนรถไฟฟ้าสายที่รัฐลงทุนเองล้วนๆ อย่าง สายสีแดง และสายสีม่วง ไม่มีปัญหา นโยบายนี้สามารถเดินหน้าได้ทันทีตามที่ได้ทำอยู่แล้ว เพราะไม่ติดสัญญากับเอกชน

แต่รถไฟฟ้าสายอื่นๆ เช่น สีเขียว สีน้ำเงิน สีชมพู สีเหลือง ล้วนมีเอกชนร่วมทุนผ่านสัญญาสัมปทานที่กำหนด “โครงสร้างค่าโดยสาร” ไว้อย่างชัดเจน

หากรัฐต้องการปรับค่าโดยสารเป็น 20 บาท คำถามใหญ่จึงอยู่ที่รัฐจะชดเชยรายได้ที่หายไปให้เอกชนอย่างไรและที่สำคัญ จะเจรจาตกลง และแก้ไขสัญญาสัมปทานให้เสร็จทันก่อน 1 ตุลาคม ได้หรือไม่

อย่างน้อยยังมี 5 ปม ที่ต้องเคลียร์

1. จะใช้รายได้เดิม หรือรายได้ใหม่เป็นฐานชดเชย
หากยึดรายได้เดิม รัฐจ่ายน้อยกว่า แต่ถ้ายึดรายได้ใหม่ (หรือตามปริมาณผู้โดยสารใหม่) รัฐจะต้องจ่ายชดเชยมากกว่า เพราะผู้โดยสารจะเพิ่มขึ้นหลังจากลดค่าโดยสาร

2. หากเอกชนอ้างว่ามีต้นทุนเพิ่มจากจำนวนผู้โดยสารที่มากขึ้น รัฐจะต้องชดเชยผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้นด้วย พูดได้ว่ารัฐจะต้องชดเชยตามปริมาณผู้โดยสารใหม่

รัฐควรเจรจาให้ชัดว่า รัฐจะชดเชยเฉพาะ “ต้นทุนที่เพิ่มขึ้น” เท่านั้น และหากเอกชนยังได้กำไรจากผู้โดยสารส่วนเพิ่ม...ควรมีเกณฑ์แบ่งรายได้กลับคืนรัฐ

3. หากในอนาคตมีการปรับขึ้นค่าโดยสารตามสัญญาสัมปทานเดิม
การคำนวณเงินชดเชยของรัฐจะต้องปรับตามหรือไม่

4. ผู้โดยสารที่ไม่ใช้สิทธิ 20 บาท และนักท่องเที่ยวที่ไม่มีสิทธิ
จะไม่นับรวมในการคำนวณเงินชดเชย ใช่หรือไม่
 

5. การแก้ไขสัญญาสัมปทานจะเสร็จทันก่อน 1 ตุลาคม หรือไม่
หากไม่ทัน เอกชนจะยอม “ลดค่าโดยสารก่อน แล้วค่อยแก้ไขทีหลัง” หรือไม่ เขาคงต้องไตร่ตรองว่า “เริ่มก่อน แก้ทีหลัง เสี่ยงหรือไม่”

“ดร.สามารถ” ตั้งคำถาม “รถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย” เริ่ม 1 ต.ค. ดีลเอกชนลงตัวหรือยัง

หากไม่มีกรอบการเจรจาที่ชัดเจน รัดกุม และโปร่งใส ข้าราชการที่เกี่ยวข้องอาจเสี่ยงถูกฟ้องร้องในภายหลัง กรณีมีผู้ร้องเรียนว่า รัฐชดเชยเงินเกินจริง หรือเอื้อผลประโยชน์แก่เอกชน

ผมดีใจที่ค่าโดยสารรถไฟฟ้าจะลดลงเหลือ 20 บาทตลอดสาย ทุกสาย ทุกสี แต่ก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า นโยบายนี้อาจเริ่มแบบ “ไม่พร้อม” แล้วค่อยตามแก้ภายหลัง 

ผมอยากให้นโยบายรถไฟฟ้า 20 บาท อยู่ได้จริง ไม่ใช่แค่ปีเดียวแล้วจบคุณคิดว่าไง รัฐจะดีลกับเอกชนพร้อมทั้งแก้ไขสัญญาสัมปทานทันก่อนถึงวันดีเดย์ได้ไหม