ทักษิณ ลุยต่อ "แจกเงินดิจิทัล" รอเศรษฐกิจพร้อม-สัญญาไว้ต้องทำ

30 พ.ค. 2568 | 04:38 น.
อัปเดตล่าสุด :30 พ.ค. 2568 | 04:50 น.

"อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร" ให้สัมภาษณสื่อเครือเนชั่น เผยงบฯ 1.57 แสนล้าน ถูกโยกเพื่อดูแลผลกระทบภาษีทรัมป์ ยืนยัน "นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3" ยังเดินหน้าเมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว

วันนี้ (30พ.ค.68) นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์พิเศษกับ "ฐานเศรษฐกิจ" และสื่อในเครือเนชั่น ในโอกาสเดินทางมาอวยพรวันครบรอบ 55 ปี เนชั่นกรุ๊ป และ 25 ปี เนชั่นทีวีถึงข้อสงสัยว่า "นโยบายแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ต" จะยังอยู่หรือไม่

 

ทักษิณ ลุยต่อ "แจกเงินดิจิทัล"  รอเศรษฐกิจพร้อม-สัญญาไว้ต้องทำ

 

อดีตนายกฯทักษิณ ระบุว่า งบประมาณกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.57 แสนล้านบาท ซึ่งเดิมกำหนดไว้สำหรับแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตนั้น ต้องมีการปรับเปลี่ยนเนื่องจากผลกระทบจากมาตรการภาษีของสหรัฐฯ ทำให้งบประมาณส่วนนี้ถูกโยกไปสำรองเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบ พร้อมใช้กระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง

ส่วนการเดินหน้าแจกเงินดิจิทัลวอลเล็ตเฟส 3 จะยังแจกต่อหรือไม่ นายทักษิณ ยืนยันว่า นโยบายนี้ยังต้องดำเนินต่อ แต่จะรอให้สถานการณ์เศรษฐกิจเอื้ออำนวยก่อน พร้อมย้ำว่า

 

“นโยบายที่สัญญากับประชาชนไว้ต้องทำให้ได้” แม้จะมีความล่าช้าบ้างก็ตาม เช่น รถไฟฟ้าค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย หรือดิจิทัลวอลเล็ต ที่แม้จะต้องทยอยดำเนินการแต่ต้องไม่ทิ้งคำมั่นสัญญา

 

สำหรับครึ่งปีหลัง นายทักษิณ แนะนำว่า รัฐบาลควรเร่งแก้ปัญหาราคาสินค้าเกษตรให้สูงขึ้นเพื่อช่วยเหลือเกษตรกรโดยตรง แต่การอุดหนุนแบบเดิมคงทำได้จำกัด เนื่องจากภาระหนี้สาธารณะและหนี้ครัวเรือนที่สูงมาก จึงต้องใช้มาตรการประกันราคาควบคู่กับการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวม

นอกจากนี้ นายทักษิณ ยังชี้ถึงความท้าทายจากการแข่งขันสินค้านำเข้าจากจีนที่เพิ่มขึ้น รัฐบาลต้องเร่งจัดการกับสินค้าลักลอบและสินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน เพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการเอสเอ็มอีไทยให้สามารถแข่งขันได้ในตลาด

 

ทักษิณ ลุยต่อ "แจกเงินดิจิทัล"  รอเศรษฐกิจพร้อม-สัญญาไว้ต้องทำ

 

ในส่วนของปัญหาหนี้ครัวเรือน นายทักษิณระบุว่า ขณะนี้มีการแก้ไขปัญหาไปแล้วราว 5 แสนราย จากผู้มีหนี้ทั้งหมดประมาณ 5 ล้านราย และคาดว่าจะสามารถบรรเทาปัญหานี้ได้ในปีนี้ เพื่อให้ประชาชนสามารถปรับตัวรับมือได้

 

สำหรับข้อเสนอการล้างหนี้ให้คนจนในสภาผู้แทนราษฎร นายทักษิณมองว่าเป็นเรื่องยากที่จะทำแบบนั้นจริง ๆ เพราะอาจสร้างปัญหาทางศีลธรรม (Moral Hazard) รัฐจึงเลือกใช้กลไกจากกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐเข้าช่วยเหลือประชาชนในรูปแบบที่เหมาะสมแทน