"รฟท." เปิดเที่ยวปฐมฤกษ์ ให้บริการ "รถไฟทางคู่ ลพบุรี-ปากน้ำโพ"

นายวีริศ อัมระปาล ผู้ว่าการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เปิดเผยว่า วันนี้ (26 พ.ค.2568) รฟท.ได้เปิดให้บริการโครงการรถไฟทางคู่สายเหนือ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ ซึ่งเป็นขบวนปฐมฤกษ์ ถือเป็นสถานีแห่งใหม่ โดยจะใช้ตารางการเดินรถเดิม จากนั้นจะมีการปรับตารางการเดินรถใหม่ ก่อนเปิดเดินรถอย่างเป็นทางการในวันที่ 30 พ.ค. นี้

ขณะที่ขบวนรถไฟเชิงพาณิชย์ ได้แก่ รถเร็ว, รถด่วน, และรถด่วนพิเศษ จะเริ่มให้บริการที่สถานีลพบุรี 2 ตั้งแต่วันที่ 5 ธันวาคม 2567 เป็นต้นไป โดยก่อนหน้านั้น ผู้โดยสารยังคงต้องใช้บริการที่สถานีลพบุรี 1 (สถานีเดิมในเมือง) ส่วนความพร้อมของสถานีลพบุรี 2 และระบบรถไฟทางคู่นั้น

ในช่วงแรกของการเปิดใช้งาน สถานีลพบุรี 2 จะใช้ระบบอาณัติสัญญาณแบบ Token ไปก่อน คาดว่าจะพร้อมเปลี่ยนมาใช้ ระบบอาณัติสัญญาณอิเล็กทรอนิกส์ ภายในปลายปีนี้ ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการเดินรถและลดระยะเวลาการเดินทางได้อย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ มีระยะทางรวม 29 กิโลเมตร โดยแบ่งการก่อสร้างออกเป็น 3 สัญญา ประกอบด้วย สัญญาที่ 1 ช่วงบ้านกลับ-โคกกระเทียม ระยะทาง 29 กิโลเมตร งบประมาณ 10,050 ล้านบาท

ทั้งนี้สัญญา 1 เป็นการก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ใหม่ เพื่อเบี่ยงแนวเส้นทางเดิมช่วงที่ผ่านเข้าตัวเมืองลพบุรี ซึ่งจะประกอบด้วย ทางรถไฟยกระดับ 23 กิโลเมตร และทางรถไฟระดับพื้นดิน 6 กิโลเมตร

อย่างไรก็ดีโครงการนี้มีจุดเด่น คือ ทางรถไฟลอยฟ้า ที่มีความยาวถึง 19 กิโลเมตร ซึ่งเป็นทางรถไฟยกระดับที่ยาวที่สุดในประเทศไทย

ในปัจจุบันโดยจะช่วยเลี่ยงจุดตัดทางรถไฟกับถนน 19 จุด และถนนเลี่ยงเมืองลพบุรี (ทางหลวงหมายเลข 366) อีกทั้งยังมีการปรับแนวเส้นทางใหม่ 2 จุด ได้แก่ จุดตัดแม่น้ำลพบุรี และช่วงสะพานรถไฟทางคู่โคกกระเทียม

ส่วนสัญญาที่ 2 ข่วงท่าแค-ปากน้ำโพ ระยะทาง 116 กิโลเมตร งบประมาณ 8,849 ล้านบาท และสัญญาที่ 3 ติดตั้งระบบอาณัติสัญญาณและโทรคมนาคม งบประมาณ 2,768 ล้านบาท ปัจจุบันระบบอาณัติสัญญาณอยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างมีความคืบหน้าแล้ว 70% ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการแล้วเสร็จภายในเดือนม.ค.2569

อย่างไรก็ตามเมื่อโครงการรถไฟทางคู่ ช่วงลพบุรี-ปากน้ำโพ แล้วเสร็จ จะลดระยะเวลาการเดินทางจากกรุงเทพฯ ถึงนครสวรรค์ จะใช้เวลาเดินทางลดลงอย่างชัดเจน จากเดิมประมาณ 3 ชั่วโมง 15 นาที เหลือเพียง 2 ชั่วโมง 50 นาที ตลอดจนลดปริมาณการจราจรบนถนน และลดความเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุจากการจราจรติดขัด