นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายว่า หลังลงพื้นที่จังหวัดนครพนมเพื่อตรวจเยี่ยมโครงการโครงการก่อสร้างถนนเลียบแม่น้ำโขง นาคาวิถี ช่วงสะพานมิตรภาพไทย-ลาว (แห่งที่ 2)-พระธาตุพนม อำเภอเมือง, ธาตุพนม จังหวัดมุกดาหาร, นครพนม ระยะทาง 43.485 กิโลเมตร งบประมาณทั้งสิ้น 614.7 ล้านบาท ซึ่งเป็นการยกระดับถนนเพื่อการท่องเที่ยวและเส้นทางชุมวิวทิวทัศน์เลียบริมฝั่งแม่น้ำโขง
ทั้งนี้ได้มอบหมายให้ กรมทางหลวงชนบท(ทช.) กำกับดูแลการดำเนินโครงการให้เป็นไปตามแผนงานที่กำหนด ปัจจุบันมีผลการดำเนินโครงการคืบหน้า 8.2% เร็วกว่าแผน 2.081% แล้วและจะเปิดให้บริการในปี 2570
ด้านรูปแบบโครงการเป็นการก่อสร้างและปรับปรุงถนนทางหลวงชนบทสาย มห.3003 และ นพ.3015 เป็นถนนคอนกรีต ผิวจราจร กว้าง 6.00 เมตรไหล่ทางกว้าง ข้างละ 0.00-2.00 เมตร พร้อมระบบระบายน้ำในเขตชุมชน และขยายสะพานในสายทางจำนวน 11 แห่ง รวมถึงสร้างจุดพักรถและชมทิวทัศน์ รวมระยะทาง 43.485 กม.
นอกจากนี้ได้มุ่งเน้นพัฒนาให้เป็นถนนเพื่อเพิ่มศักยภาพด้านการท่องเที่ยวและเส้นทางชมทิวทัศน์ (SCENIC ROUTE) เส้นทางเลียบแม่น้ำโขง ช่วงมุกดาหาร - นครพนม เพื่อเชื่อมต่อเส้นทางการท่องเที่ยวที่สำคัญของภูมิภาคนี้ ตั้งแต่จวนผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร สะพานมิตรภาพไทย - ลาว แห่งที่ 2(มุกดาหาร - สะหวันนะเขต)หาดมโนภิรมย์ วัดสองคอนแก่งกะเบา จนถึงพระธาตุพนม ซึ่งการดำเนินงานอยู่ภายใต้กรอบของยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580)และเป็นไปตามยุทธศาสตร์การพัฒนาของกรมทางหลวงชนบท
ขณะที่การก่อสร้างถนนนาคาวิถี เฟส 2 ช่วงพระธาตุพนม-ถนนสวรรค์ชายโขง ระยะทาง 51.1กม วงเงินก่อสร้าง 766.5 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมของโครงการและคาดว่าจะก่อสร้างในปี 2571 แล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2573
นอกจากนี้ทช. ยังมีแผนก่อสร้างเฟส3 ช่วงสะพานมิตรภาพไทยลาวแห่งที่สาม -ท่าเทียบเรือบ้านแพง ระยะทางรวม 89 กม. วงเงินรวม 1,500 ล้านบาท ปัจจุบันอยู่ระหว่างการศึกษาความเหมาะสมของโครงการและคาดว่าจะก่อสร้างในปี 2571 แล้วเสร็จเปิดให้บริการในปี 2573
ทั้งนี้เมื่อถนนก่อสร้างเสร็จสมบูรณ์ นอกจากจะช่วยส่งเสริมด้านการท่องเที่ยวแล้ว ยังเพิ่มศักยภาพของโครงข่ายสายทางหลวงชนบท รองรับการขยายตัวในพื้นที่จังหวัดมุกดาหาร และจังหวัดนครพนม ให้ประชาชนสัญจรได้อย่างสะดวกรวดเร็วปลอดภัย ตลอดจนนำไปสู่การสร้างงานสร้างรายได้ให้กับประชาชนในพื้นที่ได้อีกทางหนึ่งด้วย