นางมนพร เจริญศรี รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยว่า วันนี้ (24 เมษายน 2568) ได้เดินทางมาประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐและเอกชนในพื้นที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี ระนอง ชุมพร และนครศรีธรรมราช เพื่อแลกเปลี่ยนมุมมองและความคิดเห็นเกี่ยวกับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) เพื่อเชื่อมการขนส่งระหว่างอ่าวไทยและอันดามัน (แลนด์บริดจ์)
และการจัดทำร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. .... ซึ่งทุกหน่วยงานที่ร่วมหารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นร่วมกันในวันนี้ถือเป็นองค์กรหลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ และมีบทบาทสำคัญในการกำหนดทิศทางการพัฒนาจังหวัดและกลุ่มจังหวัดของภาคใต้
ขณะเดียวกันรัฐบาลได้ให้ความสำคัญกับการพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ ซึ่งมีศักยภาพในการพัฒนาทั้งด้านเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว รวมทั้งมีความได้เปรียบในเชิงภูมิศาสตร์ที่อยู่ระหว่างสองฝั่งทะเลที่สามารถเชื่อมโยงไทยไปสู่ภูมิภาคเอเชีย และเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่สำคัญของประเทศในการพลิกโฉมการพัฒนาเศรษฐกิจในภาพรวม
ที่ผ่านมากระทรวงคมนาคม โดยสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) อยู่ระหว่างการศึกษาการพัฒนาโครงการแลนด์บริดจ์ และจัดทำร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. .... เพื่อพัฒนาพื้นที่ภาคใต้ให้มีความแข็งแกร่งเพิ่มมากขึ้นและเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ
ขณะนี้กระทรวงคมนาคมเตรียมเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวให้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม) พิจารณาภายในเดือนพฤษภาคมนี้
หลังจากนั้นจะเข้าสู่ขั้นการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งจะมีการเปิดประชุมสมัยสามัญวันที่ 3 กรกฎาคม 2568 จะใช้ระยะเวลาการพิจารณาในสภาฯแล้วเสร็จภายใน 3 เดือน คาดว่าร่างพ.ร.บ.SEC จะมีผลบังคับใช้ภายในเดือนธันวาคม 2568
นางมนพร กล่าวต่อว่า ขณะเดียวกันได้เป็นประธานเปิดการสัมมนาประชาสัมพันธ์และรับฟังความคิดเห็นต่อร่าง พ.ร.บ. ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ พ.ศ. .... และการจัดตั้งสำนักงานคณะกรรมการนโยบายระเบียงเศรษฐกิจภาคใต้ ณ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี จะเป็นการรวบรวมข้อพิจารณาของหน่วยงานต่าง ๆ ต่อร่าง พ.ร.บ.ฯ เพื่อให้สามารถปรับปรุงร่างกฎหมายให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของภาคประชาชนและภาคธุรกิจอย่างแท้จริง ก่อนนำเสนอคณะรัฐมนตรีและรัฐสภาต่อไป
นายปัญญา ชูพานิช ผู้อำนวยการสำนักงานนโยบายและแผนการขนส่งและจราจร (สนข.) กล่าวว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 21 มีนาคม -20 เมษายน 2568 สนข.ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นร่างพ.ร.บ.SEC ผ่านระบบกลางทางกฎหมายและผ่านการเชื่อมต่อเว็บไซต์กระทรวงคมนาคมและสนข.พบว่ามีผู้เห็นด้วย 8,000 ราย และมีผู้ให้ข้อเสนอแนะ 700 ราย หลังจากนั้นจะปรับปรุงร่างกฎหมายต่อไป
ทั้งนี้ตามแผนจะจัดทำร่างเอกสารการประกาศประกวดราคาเพื่อคัดเลือกเอกชนร่วมลงทุนในโครงการแลนด์บริดจ์ ภายในปลายปี 2568 ในระหว่างนี้จะดำเนินการออกพรฎ.เวนคืนที่ดิน ภายในปี 2569 และเสนอต่อครม.อนุมัติโครงการแลนด์บริดจ์ที่มีมูลค่า 1 ล้านล้านบาท
และลงนามสัญญาร่วมลงทุนกับเอกชนผู้ชนะการประมูลภายในกลางปี 2569 จากนั้นจะเริ่มก่อสร้างในระยะที่ 1 ทันทีพร้อมเปิดให้บริการภายในปี 2573
สำหรับโครงการแลนด์บริดจ์มีมูลค่าลงทุนประมาณ 1.001 ล้านล้านบาท ประกอบด้วย ท่าเรือ 2 แห่ง คือ ท่าเรือน้ำลึกฝั่งทะเลอันดามัน ที่แหลมอ่าวอ่าง อำเภอราชกรูด จังหวัดระนอง ประมาณ 330,810 ล้านบาท ออกแบบให้สามารถรองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 21 เมตร
และท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทย ที่แหลมริ่ว อำเภอหลังสวน จังหวัดชุมพร ประมาณ 305,666 ล้านบาท รองรับสินค้าได้ 20 ล้าน TEUs ขนาดร่องน้ำลึก 17 เมตร
ส่วนเส้นทางเชื่อมโยงท่าเรือทั้ง 2 ฝั่ง มีระยะทางประมาณ 90 กิโลเมตร ประกอบด้วย ทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง (มอเตอร์เวย์) ขนาด 6 ช่องจราจร โดยเป็นอุโมงค์ 3 แห่ง ระยะทางอุโมงค์ประมาณ 21 กิโลเมตร ทางรถไฟขนาดราง 1.435 เมตร (Standard Gauge) จำนวน 2 ทาง โดยเป็นอุโมงค์ 3 แห่ง ระยะทางอุโมงค์ประมาณ 21 กิโลเมตร
ทั้งนี้ได้ออกแบบเพื่อรองรับการขนส่งตู้สินค้า 2 ชั้นบนแคร่ (Double Stack) และทางรถไฟขนาดราง 1.0 เมตร (Meter Gauge) จำนวน 2 ทาง โดยเป็นอุโมงค์ 3 แห่ง ระยะทางอุโมงค์ประมาณ 21 กิโลเมตร เพื่อเชื่อมต่อกับระบบโครงข่ายทางรางหลักของประเทศ วงเงินรวม 358,517 ล้านบาท
นอกจากนี้ได้เร่งรัดให้ออกแบบและก่อสร้างระบบโลจิสติกส์เชื่อมต่อการขนส่งสินค้าทางทะเล เพื่อเชื่อมโยงฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน นอกเหนือจากการขนส่งสินค้าผ่านช่องแคบมะละกาในปัจจุบัน
เพื่อสนับสนุนการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและศักยภาพทางการค้าของประเทศไทยกับกลุ่มประเทศที่อยู่ทางด้านมหาสมุทรอินเดีย ทำให้ประเทศไทยอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการผลิตและการคมนาคมขนส่งของเอเชีย
อย่างไรก็ดียังรวมถึงการเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศที่ตอบสนองนโยบายและยุทธศาสตร์การพัฒนาประเทศที่ได้กำหนดไว้ตามยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี และแผนการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570) ที่มุ่งเน้นการเปลี่ยนผ่านประเทศจากประเทศที่มีรายได้ปานกลางไปสู่ประเทศที่มีรายได้สูงผ่านการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานด้านการคมนาคมขนส่ง เพื่อเชื่อมโยงพื้นที่เศรษฐกิจในประเทศและต่างประเทศ