บางกอกเคเบิ้ลรุกโซลาร์บ้านอาศัยรับมาตรการลดภาษี 2 แสน

04 ส.ค. 2568 | 06:04 น.
อัปเดตล่าสุด :04 ส.ค. 2568 | 06:04 น.

บางกอกเคเบิ้ลต่อยอดกลยุทธ์ธุชุรกิจรุกโซลาร์บ้านอาศัยรับมาตรการลดภาษี 2 แสนบาท เชื่อความต้องการผู้บริโภคพุ่ง

นายพงศภัค นครศรี ประธานเจ้าหน้าที่สายงานขายและการตลาด บริษัท สายไฟฟ้าบางกอกเคเบิ้ล จำกัด หรือ Bangkok Cable (BCC) เปิดเผยว่า บริษัทได้ดำเนินการต่อยอดกลยุทธ์ทางธุรกิจ โดยขยายตลาดไปสู่ตลาดโซลาร์รูฟสำหรับบ้านทั่วไป

ซึ่งจะดำเนินการผ่านบริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (ION Energy) บริษัทในเครือ โดยมองว่าตลาดโซลาร์รูฟมีศักยภาพสูงโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อภาครัฐออกมาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสูงสุด 200,000 บาทสำหรับบ้านที่ติดตั้งโซลาร์รูฟ ทำให้ความต้องการของผู้บริโภคขยายตัวอย่างต่อเนื่อง 

โดยรัฐบาลได้ตั้งงบประมาณสนับสนุนมาตรการนี้ไว้ประมาณ 20,200 ล้านบาท และตั้งเป้าให้มีครัวเรือนเข้าร่วมโครงการกว่า 90,000 หลังภายใน 2 ปี 

ซึ่งการดำเนินการตามกลยุทธ์ดังกล่าว จะเป็นการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ และช่วยส่งเสริมการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ซึ่งสอดคล้องกับแนวทางด้านสิ่งแวดล้อมของบริษัท

บางกอกเคเบิ้ลรุกโซลาร์บ้านอาศัยรับมาตรการลดภาษี 2 แสน

“บริษัทยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าขยายพอร์ตฟอลิโอธุรกิจพลังงานสะอาดอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อยอดจากธุรกิจสายไฟฟ้า สู่การสร้างโซลูชันครบวงจรด้านพลังงานไฟฟ้าตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ ตอบโจทย์เมกะเทรนด์ด้านพลังงานสะอาดที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในประเทศและภูมิภาค”

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมา ION Energy ดำเนินธุรกิจหลัก 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.การลงทุนติดตั้งโซลาร์ฟรีผ่านสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (Solar PPA) ให้แก่กลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรม 

,2.การรับเหมาจัดหาและติดตั้งแผงโซลาร์แบบขายขาด (Solar EPC) สำหรับลูกค้าในภาคที่อยู่อาศัยและการพาณิชย์  และ3.เทคโนโลยีด้านพลังงานอัจฉริยะ (Solar Tech) ผ่านแพลตฟอร์มบริหารจัดการพลังงานที่ออกแบบและพัฒนาโดย ION Energy เอง รองรับการเชื่อมต่อกับอินเวอร์เตอร์จากผู้ผลิตหลากหลายแบรนด์ และสามารถผสานการทำงานร่วมกับระบบของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์

นายพีรกานต์ มานะกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไอออน เอนเนอร์ยี่ คอร์ปอเรชั่น จำกัด หรือ กล่าวว่า ตลาดโซลาร์รูฟในปัจจุบันมีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีผู้ประกอบการรายใหม่ก้าวเข้าสู่ตลาดมากขึ้น สะท้อนถึงความสนใจของภาคประชาชนและภาคธุรกิจต่อพลังงานสะอาดที่เพิ่มสูงขึ้น 

ทั้งนี้ องค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศด้านพลังงานหมุนเวียน (CASE for SEA) ได้ประเมินว่า ศักยภาพของตลาดโซลาร์รูฟภาคครัวเรือนในประเทศไทยอาจสูงถึง 9,000 เมกะวัตต์ภายในปี 2037 ซึ่งคิดเป็นมูลค่าตลาดรวมกว่า 360,000 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นว่าตลาดยังมีโอกาสในการเติบโตอีกมหาศาล และเป็นจังหวะสำคัญที่ทุกภาคส่วนควรร่วมกันขับเคลื่อน เพื่อสร้างประโยชน์อย่างยั่งยืนทั้งในระดับเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม