“ค่าไฟ” ถือเป็นส่วนหนึ่งของค่าครองชีพหลักที่ประชาชนต้องจ่ายทุกเดือน โดยประเด็นสำคัญมากไปกว่านั้นที่ถูกวิพากวิจารณ์ตลอดก็คือ ราคาที่ต้องจ่ายซึ่งถือว่าค่อนข้างสูง
ทั้งนี้ล่าสุดนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยผ่านการสัมภาษณ์หัวข้อ Behind the Bill : เปิดพรมบิลค่าไฟ – กลไกเงียบที่ทำให้โรงงานไฟฟ้าเอกชนกำไรหมื่นล้าน เกี่ยวกับปัญหา และต้นทุนค่าไฟว่า ค่าไฟไทยมีเชื้อเพลิงหลักที่มีต้นทุนหลากหลาย ประกอบด้วย
“กำลังดำเนินการปรับโครงสร้าง Pool Gas โดยแยกส่วนของแก๊สอ่าวไทยที่ราคาถูก ไปใช้สำหรับผลิตไฟฟ้าโดยเฉพาะ เพื่อลดต้นทุนค่าไฟฟ้าในชั้นนี้”
นายพีระพันธุ์ ระบุอีกว่า ไทยมีศักยภาพในการผลิตไฟฟ้าจากแสงแดดและชีวมวลสูง แต่ลมและน้ำอาจไม่เพียงพอ ส่วนแนวทางการลดต้นทุนควรพิจารณาสูตรการผลิตไฟฟ้าโดยเน้นพลังงานแสงแดดและชีวมวลที่ไทยมีศักยภาพ รวมถึงการนำเข้าไฟฟ้าพลังน้ำจากต่างประเทศในราคาถูก เพื่อลดสัดส่วนการผลิตจากก๊าซธรรมชาติ
อย่างไรก็ตาม ประเด็นที่น่าสงสัยและต้องฉุกคิดก็คือ เหตุใดต้องซื้อไฟจากเอกชน ทั้งที่ภาครัฐ (กฟผ.) ก็สามารถผลิตเองได้ ขณะที่ต้นตอของปัญหานั้น มองว่า เป็นผลมาจากแผน PDP หรือแผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า ที่อนุมัติในอดีต
รวมถึงปัญหา Take or Pay ซึ่งเป็นรูปแบบสัญญาที่ระบุว่า ไม่ว่าจะผลิตเท่าไหร่ก็ต้องซื้อ หรือต้องรับซื้อตามที่ตกลงไว้ ไม่ว่าจะผลิตหรือไม่ก็ตาม ทำให้รัฐต้องแบกรับภาระต้นทุน แม้บางครั้งอาจไม่จำเป็นต้องใช้ไฟฟ้าในปริมาณนั้น
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องความไม่โปร่งใส โดยสัญญาซื้อขายไฟฟ้ากับเอกชนส่วนใหญ่ถูกระบุว่าเป็นความลับทำให้ไม่สามารถตรวจสอบรายละเอียดได้ แม้แต่รมว.พลังงานก็ไม่สามารถขอดูสัญญาได้ ด้านกฎหมายก็ล้าสมัย โดยกฎหมาย กฟผ. ที่ใช้ในการเซ็นสัญญากับเอกชนยังเป็นปี 2511 ซึ่งไม่สอดคล้องกับรูปแบบการผลิตและการรับซื้อไฟฟ้าที่เปลี่ยนแปลงไป
ส่วนโครงสร้างการดูแลไฟฟ้าในปัจจุบันก็ซับซ้อนและไร้อำนาจเบ็ดเสร็จ มี
ผู้ผลิตคือการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย หรือ กฟผ. เป็นหลัก และภาคเอกชน ผู้จำหน่ายคือการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค หรือกฟภ. ในต่างจังหวัด) และการไฟฟ้านครหลวง หรือกฟน. (MEA) ในพื้นที่กรุงเทพฯ ซึ่งทั้งสองหน่วยงานนี้อยู่ภายใต้กระทรวงมหาดไทย ไม่ใช่กระทรวงพลังงาน ทำให้ขาดการควบคุมเบ็ดเสร็จ
ผู้กำหนดนโยบายและราคา คือสำนักงานคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงาน กกพ. เป็นผู้กำหนดค่าไฟ) และมีคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) เป็นผู้กำกับนโยบาย ซึ่งมีอำนาจและมีสูตรการคำนวณของตนเอง
ส่วน รมว. พลังงานไม่มีอำนาจเบ็ดเสร็จในการสั่งการลดค่าไฟโดยตรง และพบความซับซ้อนในระบบ รวมถึงสัญญาที่ผูกมัดจากอดีต ซึ่งเป็นปัญหาที่พยายามแก้ไขมาโดยตลอด