พลังงานไทย-ปตท.ลงทุนสหรัฐมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์

11 เม.ย. 2568 | 04:47 น.
อัปเดตล่าสุด :11 เม.ย. 2568 | 04:49 น.

พลังงานชี้เอกชนไทยลงทุนในสหรัฐฯกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่ปตท. มีการซื้อ LNG มูลค่ากว่า 7.5 พันล้านดอลลาร์

สหรัฐอเมริกาได้เริ่มเก็บภาษีศุลกากรต่างตอบแทน (Reciprocal Tariff) ตามอัตราเฉพาะที่กำหนดสำหรับแต่ละประเทศ ซึ่งไทยจะถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% โดยจะเก็บเพิ่มจากอัตราภาษีที่เรียกเก็บอยู่แล้ว (MFN apply rate) รวมทั้งอากร ค่าธรรมเนียม และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่ประเทศนั้นถูกจัดเก็บอยู่เดิม 

นั่นหมายความว่า สินค้าไทยโดนภาษี 36% แล้ว ทุกชนิดสินค้า ไม่มียกเว้น แต่จะยกเว้นให้สำหรับสินค้าที่ขนลงเรือหรือยานพาหนะแล้ว และอยู่ระหว่างเดินทางมายังสหรัฐฯ ก่อนเวลาดังกล่าว

โดยอัตราภาษีต่างตอบแทนข้างต้น จะไม่ใช้กับสินค้าที่สหรัฐฯ ได้เคยประกาศใช้มาตรการไปก่อนหน้านี้ คือ วันที่ 12 มี.ค.2568 สินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25% และวันที่ 3 เม.ย.2568 สินค้ารถยนต์และชิ้นส่วน ถูกจัดเก็บอัตราภาษีเฉพาะที่ 25% 

และภาษีต่างตอบแทนดังกล่าว ยังจะไม่ใช้กับสินค้าประเภททองแดง ยาและเวชภัณฑ์ เซมิคอนดักเตอร์ ไม้แปรรูป แร่ธาตุสำคัญบางประเภท พลังงานและผลิตภัณฑ์พลังงาน เนื่องจากสหรัฐฯ อาจจะมีการประกาศใช้ภาษีเฉพาะกับสินค้าดังกล่าวในภายหลัง คาดว่าจะเก็บเพิ่มในอัตรา 25%

พลังงานไทย-ปตท.ลงทุนสหรัฐมูลค่ากว่า 1.2 หมื่นล้านดอลลาร์

สำหรับประเทศไทยได้มีการแต่งตั้งนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นหัวหน้าทีมที่จะเดินทางไปเจรจากับสหรัฐ

ซึ่งหนึ่งในมาตรการที่จะไปเจรจาก็คือการสนับสนุนภาคเอกชนไทยที่มีศักยภาพให้ไปลงทุนในสหรัฐฯ มากขึ้น เช่น ภาคเกษตร ภาคพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของสหรัฐฯ ที่สนับสนุนในเรื่องนี้

การซื้อพลังงาน ก็ให้บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เพิ่มการนำเข้าน้ำมันดิบ ปิโตรเคมี ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น เพราะเป็นสินค้าที่ไทยต้องใช้อยู่แล้ว รวมไปถึงการขยายการลงทุนไปยังสหรัฐฯ ซึ่งที่ผ่านมา ไทยมีการเข้าไปลงทุนในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานแล้ว ก็ต้องเพิ่มต่อไป 

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอให้ไทยต่อสัมปทานปิโตรเลียมให้กับบริษัท เชฟรอนประเทศไทยสำรวจและผลิต จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทสหรัฐฯ ที่เข้ามาลงทุนในไทยเป็นเวลานาน และสัญญาสัมปทานแหล่งก๊าซธรรมชาติ แหล่งไพลิน กับแหล่งเบญจมาศ กำลังจะหมดอายุลงอีกในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า หลังจากที่แหล่งเอราวัณ แหล่งปลาทอง แหล่งสตูล และแหล่งฟูนาน ได้หมดอายุสัมปทานไปแล้ว และมีการส่งมอบให้กับ ปตท. ไปแล้ว

อย่างไรก็ดี จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” พบว่า ในส่วนของความร่วมมือด้านพลังงานระหว่างไทยและสหรัฐ นายสมภพ พัฒนอริยางกูล รองปลัดกระทรวงพลังงาน เคยระบุว่า มีความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและมีการค้าการลงทุนระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง โดยในปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีการนำเข้าน้ำมันดิโตรเลียม น้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติ และก๊าซเหลวจากสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะน้ำมันดิบที่มีปริมาณการนำเข้าสูงถึงกว่า 33 ล้านบาร์เรล คิดเป็นมูลค่า 3 พันล้านดอลลาร์

นอกจากนี้ ในช่วงปี 2565-2567 กลุ่มบริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) ได้มีการซื้อก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) จากสหรัฐอเมริกาแล้วประมาณ 60 คาร์โก้ ปริมาณรวม 1.7 ล้านตัน เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงทางพลังงานของประเทศ และล่าสุด ปตท. ยังได้ลงนามในสัญญาซื้อขายก๊าซธรรมชาติเหลว (LNG) ระยะยาว 15 ปี กับสหรัฐฯ ปริมาณ 1 ล้านตันต่อปี มูลค่ารวม 7.5 พันล้านดอลลาร์ เพื่อสร้างความมั่นคงและเสถียรภาพด้านราคาในระยะยาว

นายสมภพ กล่าวเสริมว่า กลุ่ม ปตท. มีการลงทุนด้านพลังงานในสหรัฐอเมริการวมมูลค่ากว่า 1.2 พันล้านดอลลาร์ ในหลากหลายธุรกิจ เช่น ปิโตรเคมี แบตเตอรี่ และเชื้อเพลิงชีวภาพ และปัจจุบันยังอยู่ระหว่างการศึกษาเพื่อขยายการลงทุนเพิ่มเติมในโครงการที่มีศักยภาพ

ขณะเดียวกัน ภาคเอกชนไทยมีการลงทุนในสหรัฐอเมริกาในด้านพลังงานเป็นมูลค่ารวมกว่า 2.7 พันล้านดอลลาร์ โดยครอบคลุมธุรกิจโรงไฟฟ้า เทคโนโลยีกักเก็บคาร์บอน และเชื้อเพลิงชีวภาพ

ขณะที่ความร่วมมือระหว่างไทยและสหรัฐอเมริกาในโครงการพัฒนาก๊าซ LNG ร่วมกับรัฐอะแลสกา ซึ่งคาดว่าจะเริ่มการผลิตได้ในปี 2028 และส่งออกในปี 2031 โดยประเทศไทยแสดงความสนใจที่จะหารือในรายละเอียดอย่างต่อเนื่องเพื่อประโยชน์ด้านพลังงานของทั้งสองประเทศ