KEY
POINTS
ดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้าและอุตสาหกรรมไทย เปิดเผยบทความพิเศษมองข้ามช็อต หาดใหญ่หลังวิกฤติจมน้ำ อย่ามัวโทษกันเร่งออกมาตรการเยียวยาฟื้นเศรษฐกิจ มีเนื้อหาว่าน้ำท่วมภาคใต้ โดยเฉพาะอำเภอหาดใหญ่ ศูนย์กลางเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม การค้า ท่องเที่ยว โลจิสติกส์และภาคบริการใหญ่สุดของภาคใต้
น้ำท่วมครั้งนี้เป็นวิกฤติอุทกภัยครั้งใหญ่สุดเป็นประวัติการณ์ ทั้งของหาดใหญ่และจังหวัดสงขลา รวมทั้งหลายจังหวัดภาคใต้ตอนล่าง สร้างความเสียหายเป็นวงกว้างครัวเรือนได้รับผลกระทบมากกว่า 9.861 แสนครัวเรือนมีประชาชนกว่า 2.730 ล้านคนเฉพาะที่สงขลามีประมาณ 3.21 แสนครัวเรือน
ขณะที่อ่านบทความนี้ระดับน้ำคงลดไปมากแล้วอย่ามัวเสียเวลาโทษกันว่าใครผิดเพื่อหวังผลทางการเมืองต้องมองข้ามช็อต “หลังน้ำลด” เกี่ยวกับแนวทางการฟื้นฟูกู้เศรษฐกิจช่วยเหลือชาวบ้านและผู้ประกอบการให้ฟื้นคืนมาได้อย่างไร
บทความนี้จะโฟกัสไปที่พื้นที่เมืองหาดใหญ่และใกล้เคียงในเขตเทศบาล ซึ่งเป็นพื้นที่เศรษฐกิจน้ำท่วมมิดถึงชั้นหนึ่งของร้านค้าและอาคารพาณิชย์ ส่วนบ้านเรือนท่วมไปถึงชั้นสองบางรายมิดหลังคา
ขณะที่โรงงานอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเส้นทางจากเทศบาลเมืองไปทุ่งลุงและอำเภอสะเดา เป็นเส้นทางโลจิสติกส์สำคัญทางถนนไปรัฐเคดาห์และรัฐเปอร์ลิส ประเทศมาเลเซีย ซึ่งน้ำท่วมหนักมากโรงงานอุตสาหกรรมทั้งเล็กและใหญ่จำนวนมากถูกน้ำท่วมเข้าไปถึงไลน์การผลิต และคลังสินค้าเสียหายเป็นจำนวนมาก
การช่วยเหลือเฉพาะหน้าคงต้องทำไปแค่แจกถุงยังชีพและของจำเป็น เสมือนเป็นเพียงยาดมยาหอม มาตรการเร่งด่วนที่ต้องออกมาคือ การกู้ฟื้นเศรษฐกิจ ซึ่งจมและไหลไปกับกระแสน้ำจะกลับคืนมาได้ในเร็ววัน
ถอดบทเรียนประสบการณ์วิกฤติน้ำท่วมพื้นที่อุตสาหกรรมครั้งใหญ่ จังหวัดอยุธยา-ปทุมธานีและพื้นที่ปริมณฑลกรุงเทพ เมื่อพ.ศ. 2554 โรงงานอุตสาหกรรมจำนวนมากจมน้ำ 3 ถึง 4 เมตร เครื่องจักรส่วนใหญ่จมน้ำหลังน้ำลดใช้งานไม่ได้ต้องซ่อมแซม 4 – 6 เดือน บางโรงงานต้องใช้เวลามากกว่าจึงกลับมาดำเนินการได้ ส่งผลให้แรงงานจำนวนมากตกงานกระทบไปถึงการหยุดชะงักของ
โซ่อุปทาน หรือ “Supply chain” ที่เกี่ยวข้องทั้งภาคการผลิต-บริการและโลจิสติกส์ กระทบเป็นลูกโซ่ไปถึงการชะลอตัวของภาคส่งออก การบริโภคและการลงทุนมีผลต่อการขยายตัวของ GDP ช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่น้ำท่วม หดตัวถึง 9% รัฐบาลในสมัยนั้นออกมาตรการต่าง ๆ ทั้งการเงิน-การคลังและเงินกู้เพื่อฟื้นเศรษฐกิจมูลค่าความเสียเสียหายประมาณ 1.44 ล้านล้านบาท
ที่กล่าวเป็นเรื่องในอดีตและขนาดเศรษฐกิจของหาดใหญ่และจังหวัดใกล้เคียง เล็กกว่าพื้นที่ปริมณฑลกรุงเทพ ซึ่งน้ำท่วมครั้งนั้นค่อนข้างมาก การนำเสนอเพื่อให้เห็นถึงความเสียหายหลังน้ำลดจะเป็น บาดแผลทางเศรษฐกิจ (Economic Pain Point) ที่จะตามมาและใช้เวลาค่อนข้างมากในการฟื้นตัว อีกทั้งเสถียรภาพการเมืองกำลังเข้าสู่โหมด “Shutdown” ยุบสภาใน 1 – 2 เดือน เพื่อเลือกตั้งจะทำให้ขาดการติดตามการแก้ปัญหา
บริบทอำเภอหาดใหญ่ห่างจากกทม.ประมาณ 993 กิโลเมตรเป็นพื้นที่เศรษฐกิจใหญ่สุดของภาคใต้ ขนาดเศรษฐกิจของจังหวัดสงขลามูลค่า 2.881 ล้านล้านบาท มูลค่าการค้าชายแดนมาเลเซียประมาณ 3.067 แสนล้านบาท ตัวเลขนี้ไม่รวมการค้าผ่านแดน โดยเป็นการส่งออกประมาณ 57% เป็นที่ตั้งของโรงงานอุตสาหกรรมการผลิตมากกว่า 1,230 กิจการ
ส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตยางแท่ง-ยางแผ่น ผลิตภัณฑ์จากยางพารา อุตสาหกรรมไม้และผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้อง อุตสาหกรรมแปรรูปอาหาร ทำให้มีธุรกิจที่เกี่ยวข้องจำนวนมาก ซึ่งอยู่ในโซ่อุปทาน เช่น อุตสาหกรรมการผลิตที่เป็นวัตถุดิบ ธุรกิจโลจิสติกส์ คลังสินค้า บรรจุภัณฑ์มีแรงงานรวมกันมากกว่า 1.2 แสนคน
นอกจากนี้อำเภอหาดใหญ่เป็นเมืองท่องเที่ยวสำคัญเกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงแรมกว่า 300 แห่ง และร้านอาหาร-บริการที่เกี่ยวข้องกับท่องเที่ยว ส่วนใหญ่เป็นชาวมาเลเซียมากกว่าปีละ 4.5 – 4.6 ล้านคน ผลพวงเหล่านี้ทำให้เกิดการจ้างงานจำนวนมาก
มาตรการพลิกฟื้นกู้เศรษฐกิจหาดใหญ่และพื้นที่เศรษฐกิจภาคใต้ ไม่ใช่ทำแบบฉาบฉวยเพียงแค่แถลงข่าวหรือการหาเสียงเรียกคะแนนนิยม จำเป็นต้องมีการบูรณาการทั้งด้านมาตรการทางภาษี-การคลัง-การปล่อยสินเชื่อและอื่นๆ ได้แก่
ประการแรก มาตรการช่วยเหลือผู้ประกอบการ ครอบคลุมทั้งการผลิต การค้า โรงแรม ท่องเที่ยวและภาคบริการต่าง ๆ ที่ได้รับผลกระทบครอบคลุมทั้งรายย่อย เอสเอ็มอี ตลอดจนรายใหญ่ ซึ่งได้รับความเสียหายทั้งอาคาร เครื่องจักร อุปกรณ์ทำมาหากินให้สามารถฟื้นฟูกลับมาประกอบธุรกิจใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการรักษาการจ้างงาน
มาตรการที่จำเป็นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าในช่วงที่หยุดกิจการ เช่น พักชำระหนี้สถาบันการเงินแบบอัตโนมัติ ร่วมกับยกเว้นดอกเบี้ย 6 เดือนถึง 1 ปี รวมถึงเสริมสภาพคล่องด้วยการขยายเวลาตั๋วสัญญาใช้เงิน (P/N) ตลอดจนวงเงินกู้พิเศษสำหรับธุรกิจที่ได้รับความเสียหาย
ประการที่สอง มาตรการช่วยเหลือภาคครัวเรือนประเมินว่า มีครัวเรือนที่ได้รับผลกระทบประมาณ 9.9 แสนครัวเรือน ส่วนใหญ่ 32.5% อยู่ในพื้นที่จังหวัดสงขลา คงต้องไปแยกแยะว่าเสียหายจริงมากน้อยเพียงใด ซึ่งต้องช่วยเหลือมาตรการทางการเงินด้วยการปล่อยสินเชื่อ ยกเว้นดอกเบี้ยในช่วง 1 ปีแรก และที่เหลือดอกเบี้ยแบบผ่อนปรน เพื่อที่จะได้นำมาใช้ในการซ่อมแซมบ้าน อาคารและร้านค้าย่อยที่ได้รับความเสียหาย
น้ำท่วมครั้งนี้หนักมากมาเร็วและแรง ทำให้เตรียมการหนีและขนย้ายไม่ทันเกี่ยวข้องกับอุปกรณ์และเครื่องใช้ที่จำเป็นในครัวเรือนที่สูญหายหรือเสียหายจากภัยพิบัติ ประเด็นที่จะต้องเร่งสำรวจคือพื้นที่เกษตรกรรม โดยเฉพาะยางพาราเป็นพืชไม่ทนน้ำหากน้ำท่วมขังนาน 10 – 15 วัน อาจทำให้ตายหรือลดผลผลิต ซึ่งจะต้องมีมาตรการเยียวยาเช่นกัน
ประการที่สาม มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่ซึ่งประกาศเป็นภัยพิบัติด้านอุทกภัย จะทำให้ธุรกิจหยุดชะงักแรงงานบางส่วนอาจต้องหยุดงาน ตลอดจนภาคท่องเที่ยวจะหายไปทำให้ขาดรายได้ในการจับจ่ายใช้สอย จำเป็นจะต้องมีมาตรการกระตุ้นการบริโภคผ่านแอพเป๋าตังหรือเป็นโครงการแจกคูปอง เพื่อให้เกิดกระตุ้นเศรษฐกิจในพื้นที่เป็นการเยียวยาในระยะสั้นและจำกัดในพื้นที่
ดังที่กล่าวมานี้เป็นเพียงตัวอย่างที่รัฐบาลจะต้องเร่งออกมาอย่างเป็นรูปธรรม เพราะบาดแผลหลังน้ำท่วมครั้งใหญ่สุดของหาดใหญ่และภาคใต้ตอนล่างต้องใช้เวลาในการพื้นตัวอย่างน้อยครึ่งปี รัฐบาลรวมทั้งฝ่ายค้าน ตลอดจนฝ่ายแค้นจำเป็นต้องออกมาตรการระยะเร่งด่วน ไม่ใช่พอข่าวจางไปก็มัวแต่หาเสียงเลือกตั้ง อย่าเล่นการเมืองจนเกินไปชาวบ้านเขาเดือดร้อนจริง ๆ