อัครารุกลงทุนขยายความลึกเหมืองทอง จ่ายผลตอบแทนรัฐเพิ่ม 30 ล้าน

01 ธ.ค. 2568 | 07:11 น.

อัคราเดินหน้าลงทุนขยายความลึกเหมืองทองในพื้นที่ประทานบัตรเดิม เผยอยู่ระหว่าง กพร. พิจารณาผลประโยช์ตอบแทนพิเศษ คาดจ่ายให้รัฐเพิ่ม 30 ล้านบาท

KEY

POINTS

  • บริษัท อัครา รีซอร์สเซส มีแผนขยายการทำเหมืองทองคำให้ลึกลงไปในพื้นที่ประทานบัตรเดิม 3 จังหวัด โดยไม่ใช่การขอพื้นที่ใหม่
  • การขยายการผลิตดังกล่าวคาดว่าจะทำให้บริษัทต้องจ่ายผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษให้แก่รัฐเพิ่มขึ้นประมาณ 30 ล้านบาท
  • แผนขยายเหมืองได้ผ่านการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมแล้ว ปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) และคาดว่าจะได้รับการอนุมัติภายในปีนี้

นายเชิดศักดิ์ อรรถอารุณ ผู้จัดการทั่วไป ฝ่ายความยั่งยืนขององค์กร บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทมีแผนขยายความลึกการทำเหมืองทองคำ ภายในพื้นที่ประทานบัตรเดิม 3 จังหวัด ได้แก่ พิจิตร เพชรบูรณ์ และพิษณุโลกไม่ใช่การขอพื้นที่ใหม่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนที่ กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) พิจารณาคำนวณเรื่องผลประโยชน์ตอบแทนพิเศษต่อรัฐ

ทั้งนี้ แผนทั้งหมดได้ผ่านการประเมินผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม และการกลั่นกรองจากสำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ตั้งแต่เดือนต.ค.2568  

ปัจจุบันจึงอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของ กพร. อย่างรอบคอบ โดยคาดว่าจากการขยายการผลิตดังกล่าว บริษัทต้องจ่ายผลตอบแทนให้รัฐเพิ่มประมาณ  30 ล้านบาท ซึ่งกระบวนการต่างๆ ใกล้เสร็จสมบูรณ์ และมีโอกาสที่การอนุมัติจะแล้วเสร็จทันภายในปีนี้

อย่างไรก็ดี อัคราในฐานะผู้ผลิตทำเหมืองทองคำรายเดียวในประเทศไทย สามารถสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจให้แก่ประเทศรวมกว่า 7.7 พันล้านบาท/ปี จ่ายค่าภาคหลวงให้รัฐกว่า 2,158 ล้านบาท/ปี ทำให้เกิดการจ้างงานกว่สา 1,000 คน ภายใต้เป้าหมายจ้างงาน 90% เป็นคนในพื้นที่

นอกจากนี้ ยังร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT, บริษัท เอ็มทีเอส รีไฟเนอรี่ แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (ห้างทองแม่ทองสุก) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนานวัตกรรมจากหางแร่ โดยเปลี่ยนแร่ที่เป็นสิ่งหลงเหลือจากกระบวนการผลิตทองคำและเงิน เป็นอิฐบล็อกจากหางแร่ เพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

นอกจากนี้ ยังร่วมกับสถาบันวิจัยและพัฒนาอัญมณีและเครื่องประดับแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ GIT, บริษัท เอ็มทีเอส รีไฟเนอรี่ แอนด์ แมนูแฟคเจอริ่ง จำกัด (ห้างทองแม่ทองสุก) และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วิจัยพัฒนานวัตกรรมจากหางแร่ โดยเปลี่ยนแร่ที่เป็นสิ่งหลงเหลือจากกระบวนการผลิตทองคำและเงิน เป็นอิฐบล็อกจากหางแร่ เพื่อใช้เป็นวัสดุก่อสร้างที่แข็งแรง และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

ซึ่งไม่เพียงช่วยลดปริมาณของเสียจากเหมือง แต่ยังเป็นต้นแบบสำหรับการสร้างเศรษฐกิจหมุนเวียนในอนาคตต ทั้งยังศึกษาความเป็นไปได้ในการใช้หางแร่เป็นวัสดุดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ เพื่อใช้ประโยชน์ในอุตสาหกรรมก่อสร้าง ที่จะสามารถเพิ่มปริมาณคาร์บอนเครดิตให้ประเทศ 

ส่วนความคืบหน้าข้อพิพาท ระหว่างราชอาณาจักรไทย และบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด ในฐานะผู้ถือหุ้นใน บริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) นั้น ล่าสุดคณะอนุญาโตตุลาการ ได้รับทราบผลเจรจาทำความเข้าใจของทั้งสองฝ่าย เพื่อยุติข้อพิพาทร่วมกันแล้ว หลังจากยืดเยื้อมานาน 8 ปี ซึ่งขณะนี้อนุญาโตตุลาการอยู่ระหว่างจัดทำคำสั่งยุติคดีโดยสมบูรณ์ต่อไป

นายณัฐพล รังสิตพล ปลัดกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะประธานคณะทำงานระงับข้อพิพาท กล่าวว่าล่าสุดกระทรวงได้รับทราบการยุติข้อพิพาทดังกล่าวแล้ว ภายใต้กติกาที่ชัดเจน ซึ่งกระทรวงจะกำกับดูแลการประกอบกิจการทุกขั้นตอนอย่างโปร่งใส พร้อมเปิดเผยข้อมูลการตรวจวัดคุณภาพสิ่งแวดล้อมต่อสาธารณชนอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้สาธารณชน

นายอดิทัต วะสีนนท์ อธิบดี กพร. กล่าวว่า ภายใต้ พ.ร.บ.แร่ พ.ศ. 2560 ฉบับใหม่ ได้วางกรอบการทำงานอย่างรัดกุม เน้นประโยชน์ต่อกับประชาชนและชุมชนรอบพื้นที่เหมือง เช่น กองทุนพัฒนาหมู่บ้านและชุมชน ผู้ประกอบการสมทบเงินเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่ ใช้สำหรับสาธารณูปโภค การศึกษา และสาธารณสุข การจ้างงานคนในพื้นที่ และป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสุขภาพเป็นรายไตรมาส หากพบการละเมิดกระทรวงพร้อมใช้อำนาจตามกฎหมายในการสั่งแก้ไขปรับปรุงทันที