อุตฯสมุนไพรรุกดันผู้ประกอบการเข้าถึงเครื่องฉายรังสี หลังเกิดปัญหายาดมหงส์ไทย

16 พ.ย. 2568 | 23:11 น.

กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพรเดินหน้าดันผู้ประกอบการเข้าถึงเครื่องฉายรังสี หลังเกิดปัญหายาดมหงส์ไทย เหตุทั้งประเทศมีแค่ 10 เครื่อง

KEY

POINTS

  • กลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ส.อ.ท. เร่งหาแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการ หลัง อย. ตรวจพบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์เกินมาตรฐานในผลิตภัณฑ์ยาดม
  • เตรียมเป็นตัวกลางประสานงานให้ผู้ประกอบการเข้าถึงบริการเครื่องฉายรังสีสำหรับฆ่าเชื้อ ซึ่งปัจจุบันมีจำนวนจำกัดเพียง 10 เครื่องและไม่เพียงพอต่อความต้องการ
  • จะหารือกับภาครัฐเพื่อหาแนวทางเพิ่มจำนวนเครื่องฉายรังสี เพื่อยกระดับมาตรฐานการผลิตและผลักดันสมุนไพรไทยในตลาดโลก

นายสิทธิชัย แดงประเสริฐ ประธานกลุ่มอุตสาหกรรมสมุนไพร ในสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ได้หารือถึงแนวทางช่วยเหลือผู้ประกอบการด้านสมุนไพร เพื่อแก้ปัญหาปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ ในผลิตภัณฑ์ 

ภายหลังเกิดกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ระบุผลตรวจวิเคราะห์ผลิตภัณฑ์ยาดมสมุนไพรที่สุ่มเก็บตัวอย่าง พบการปนเปื้อนเชื้อจุลินทรีย์ มีปริมาณเกินกว่าค่ามาตรฐานตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข พ.ศ.2564

ทั้งนี้ เนื่องจากปกติผลิตภัณฑ์หลายประเภท เช่น เครื่องสำอาง อาหาร และเวชภัณฑ์ทางการแพทย์ รวมถึงผลิตภัณฑ์สมุนไพรต้องผ่านการฆ่าเชื้อด้วยการฉายรังสี แต่ปัจจุบันเครื่องฉายรังสีในประเทศไทยมีอยู่เพียงจำนวน 10 เครื่อง 

ขณะที่ตลาดสมุนไพรในไทยเติบโตอย่างมาก และได้รับการตอบรับจากต่างประเทศ ทำให้ความต้องการใช้บริการเครื่องมีมากกว่าจำนวนเครื่อง

อุตฯสมุนไพรรุกดันผู้ประกอบการเข้าถึงเครื่องฉายรังสี หลังเกิดปัญหายาดมหงส์ไทย

ดังนั้น ทางกลุ่มจะเข้ามาเป็นตัวกลางในการรวบรวมผู้ให้บริการเครื่องฉายรังสี และประสานงานให้กับโรงงานที่ต้องการใช้บริการ เพื่อให้เข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและเป็นมาตรฐานเดียวกัน 

โดยจะหารือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง ในการหาทางเพิ่มเครื่องฉายรังสี ให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้ประกอบการที่กำลังเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ เพราะสมุนไพรไทยมีศักยภาพสูงในตลาดโลก เป็นส่วนหนึ่งของ ซอฟท์พาวเวอร์ไทย

นายสิทธิชัย กล่าวอีกว่า ประเทศไทยมีการบริโภคผลิตภัณฑ์สมุนไพรอันดับ 7 ของโลก มีขนาดตลาดสมุนไพรอันดับ 4 ของภูมิภาคเอเชียประเทศไทย รองจากประเทศจีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และเป็นผู้นำการส่งออกสมุนไพรอันดับ 1 ของอาเซียน แต่ในตลาดโลกยังไม่ติด 1 ใน 10 เนื่องจากยังมีข้อจำกัดด้านมาตรฐานการผลิต

ขณะที่ ตลาดผลิตภัณฑ์สมุนไพรทั่วโลก มีมูลค่า 60,165.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ อยู่ในภูมิภาคเอเชียถึง 57.6% อเมริกา 22.1% ยุโรป 22.1% ยุโรป 18% ตะวันออกกลาง 1.5% ออสเตรเลีย 0.9% ซึ่งตลาดสมุนไพรโลกกำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว คาดการณ์ปี 2573 ทะลุ 2.7 ล้านล้านบาท เป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม สุขภาพยา เครื่องสำอาง สมุนไพรที่ได้รับความนิยม ขิง กระเทียม โสม และคาโมมายล์

“หากไทยร่วมมือกัน และสร้างมาตรฐานให้เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ มั่นใจว่าภายใน 5 ปี สมุนไพรไทยจะติด 1 ใน 10 ของโลก เนื่องจากสมุนไพรไทยมีความโดดเด่นของสายพันธุ์ บางชนิดไม่มีที่อื่นในโลก คาดการณ์ตลาดสมุนไพรในประเทศในปี 2570 มีมูลค่า 100,000 ล้านบาท กลุ่มผลิตภัณฑ์ ยาอาหารเสริมสุขภาพ เครื่องสำอาง เครื่องดื่มโดยสมุนไพรที่ได้รับความนิยมคือ ขมิ้นชัน กระชายขาว ตะไคร้หอม บัวบก”