KEY
POINTS
จากการประชุมครม. มีมติให้กระทรวงพาณิชย์ไปปรับปรุงกรอบโควตาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ใหม่ ภายหลังรัฐบาลก่อนหน้านี้ได้เจรจาภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) กับสหรัฐอเมริกา และได้ปรับเพดานโควตาการนำเข้าจากเดิมที่กำหนดไว้ 54,700 ตันต่อปี ในอัตราภาษี 20% เพิ่มเป็นเพดานโควตา 1 ล้านตันต่อปี ภายใต้อัตราภาษี 0%
นางอารดา เฟื่องทอง อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ เปิดเผย"ฐานเศรษฐกิจ" ว่า สำหรับข้อเสนอเรื่องลดระยะเวลาการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ภายใต้ความตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) จากเดิมที่กำหนดให้ผู้นำเข้าทั่วไป นำเข้าได้ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. – 31 ส.ค. ของปี (รวม 7 เดือน) ซึ่งเป็นช่วงที่ผลผลิตภายในประเทศออกสู่ตลาดไม่มากนัก นำเข้าได้ระหว่างวันที่ 1 ก.พ. – 30 มิ.ย. (รวม 5 เดือน) นั้น
ต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ก่อน เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อเกษตรกรและอุตสาหกรรมภายในประเทศ และไม่ขัดต่อพันธกรณีความตกลงระหว่างประเทศ
ทั้งนี้ เนื่องจากข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ เป็นสินค้าที่ไทยผลิตได้ไม่พอต่อความต้องการใช้ โดยขาดแคลนประมาณปีละ 3–4 ล้านตัน และหากปี 2569 มาตรการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่ปลอดจากการเผามีผลใช้บังคับ คาดว่าจะทำให้ปริมาณการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ลดลง และในประเทศจะมีผลผลิตที่ซื้อขายได้น้อยลง
ขณะเดียวกันอาจจะกระทบต่อวัตถุดิบอาหารสัตว์ของไทย ราคาสินค้าปศุสัตว์ส่งออก และผลกระทบต่อผู้บริโภคภายในประเทศ จึงจำเป็นต้องมีการพิจารณาจัดหาข้าวโพดเลี้ยงสัตว์
นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 10 มิถุนายน 2568 ที่ผ่านมา ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายและบริหารจัดการข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ (นบขพ.) ซึ่งประกอบด้วยผู้แทนจากภาคส่วนต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาคเอกชน (ผู้ผลิตอาหารสัตว์ ค้าพืชไร่และปศุสัตว์) และภาคเกษตรกร ร่วมเป็นกรรมการ จึงได้พิจารณาทบทวนเงื่อนไข
สำหรับการนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ภายใต้กรอบ WTO สำหรับปี 2569 เพื่อขยายปริมาณการนำเข้า และปรับลดอัตรา ภาษีการนำเข้า เพื่อเปิดให้มีแหล่งนำเข้าเพิ่มเติมจากแหล่งเดิมที่เป็นประเทศอาเซียน
ขณะที่ การนำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์จากสหรัฐอเมริกา สามารถใช้สิทธินำเข้าภายใต้กรอบ WTO ในโควตาดังกล่าวได้อย่างไรก็ดี ในการเลือกซื้อจากประเทศใดน่าจะขึ้นกับภาวะการตลาด ซึ่งภาคเอกชนจะเป็นผู้พิจารณา ประกอบกับปัจจุบันกระทรวงเกษตรและสหกรณ์อนุญาตให้นำเข้าข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ได้จากเพียง 8 ประเทศ ได้แก่ เมียนมา กัมพูชา เวียดนาม สปป.ลาว อินเดีย ปากีสถาน อาร์เจนตินา และเม็กซิโก
โดยต้องขออนุญาตนำเข้ามาในราชอาณาจักร และปฏิบัติตามเงื่อนไขการนำเข้าที่กระทรวงเกษตรฯ กำหนด หากประสงค์จะนำเข้าจากประเทศอื่นเพิ่มเติม ต้องมีการทำความตกลงระหว่างกระทรวงเกษตรฯและประเทศผู้ส่งออก