KEY
POINTS
สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) รายงานความคืบหน้าการพัฒนา "เขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ" รวม 10 พื้นที่ชายแดนเป้าหมาย โดยข้อมูลล่าสุด ณ เดือนกรกฎาคม 2568 พบว่า การพัฒนา 10 พื้นที่ชายแดนเป้าหมาย ได้แก่ ตาก สระแก้ว มุกดาหาร ตราด สงขลา หนองคาย นครพนม กาญจนบุรี นราธิวาส และเชียงราย ตั้งแต่ปี 2558 จนถึงปัจจุบัน มีมูลค่าการลงทุนเอกชนและการนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษ รวม 54,825.96 ล้านบาท
ทั้งนี้แยกเป็น การลงทุนที่ได้รับการส่งเสริมจาก สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) และดำเนินการลงทุนแล้ว 92 โครงการ วงเงิน 26,471.75 ล้านบาท ในประเภทกิจการ อาทิ เสื้อผ้าสำเร็จรูป พลาสติก อาหารสัตว์ยานยนต์ เครื่องจักรและชิ้นส่วน อุปกรณ์ก่อสร้าง โรงพยาบาล ถุงมือยางทางการแพทย์ (จากโครงการที่ได้รับการส่งเสริมการลงทุนทั้งหมด 132 โครงการ วงเงิน 31,016.34 ล้านบาท)
ขณะที่โครงการลงทุนของภาคเอกชนในพื้นที่พัฒนาซึ่งเป็นที่ดินราชพัสดุในเขตพัฒนา เศรษฐกิจพิเศษตราด กาญจนบุรี และนครพนม รวม 5,106.02 ล้านบาท ส่วนการลงทุนในนิคมอุตสาหกรรมในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษสระแก้วและสงขลารวม 5,731.21ล้านบาท (เฉพาะเงินลงทุนของ กนอ.และการลงทุนของภาคเอกชนในนิคมฯ)
เช่นเดียวกับการจัดตั้งธุรกิจใหม่ 8,782ราย มูลค่าทุนจดทะเบียนรวม 16,885.38ล้านบาท โดยส่วนใหญ่ เป็น SMEs สูงถึงร้อยละ 98 มีประเภทกิจการ อาทิ ก่อสร้างอาคารทั่วไป โลจิสติกส์ ผลิตเสื้อผ้า อสังหาริมทรัพย์ และโรงแรม รีสอร์ทและห้องชุด ผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำ ผลิตไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์จากไม้แปรรูป
อีกทั้งยังมีการจัดตั้งเขตปลอดอากรในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก หนองคาย และสงขลาและคลังสินค้าทัณฑ์บนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษตาก มุกดาหาร สงขลา หนองคาย และเชียงราย วงเงินรวม 510 ล้านบาท ซึ่งขอรับสิทธิประโยชน์ของกรมศุลกากร ส่วนการให้สินเชื่อของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย (Exim Bank) เพื่อการลงทุนในเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษเชียงราย สงขลา ตาก และหนองคาย รวม 121.60 ล้านบาท
สศช.ยังแจ้งข้อมูลการให้สิทธิประโยชน์ส่งเสริมการลงทุน คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนได้ออกมาตรการส่งเสริมการลงทุนในพื้นที่เขตฯ ชายแดนเพิ่มเติม โดยมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 3 มกราคม 2566 เป็นต้นไป และวันที่ 28 มิถุนายน 2567 เป็นต้นไป ซึ่งเพิ่มเติมกิจการเป้าหมาย จากเดิม 13 กลุ่มกิจการ 72 ประเภทกิจการ เพิ่มเป็น 13กลุ่มกิจการ 88 ประเภทกิจการ เหมือนกันในทั้ง 10 เขตฯ โดยจะได้รับสิทธิประโยชน์ในระดับสูงสุด ซึ่ง 17 ประเภทกิจการที่เพิ่มขึ้น ครอบคลุมทั้งด้านการผลิต การท่องเที่ยวและบริการ
รวมทั้งเป็นกิจการที่สอดคล้องกับศักยภาพ/โอกาสของพื้นที่และสถานการณ์การพัฒนาในเขตฯ ชายแดนที่เปลี่ยนแปลงไป เช่น กิจการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนหรือการผลิตเชื้อเพลิงจากขยะ กิจการศูนย์การแพทย์กิจการผลิตอาหารทางการแพทย์ กิจการบริการด้านแพทย์แผนไทย กิจการบริการแก่ธุรกิจสร้างภาพยนตร์ กิจการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ เป็นต้น ซึ่งจะช่วยสนับสนุนกิจกรรมทางเศรษฐกิจและดึงดูดการลงทุนมายังเขตฯ ชายแดนให้เพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง
ขณะที่การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ใน 10 พื้นที่ ครอบคลุมทั้งในด้านการคมนาคมขนส่งระบบสาธารณูปโภค/สาธารณูปการ การพัฒนาด่านพรมแดน/ด่านศุลกากร การจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรม และการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านสังคม ซึ่งสามารถดำเนินการได้ตามแผน ปัจจุบันมีความก้าวหน้าการดำเนินงานเฉลี่ยร้อยละ 90 และมีโครงการสำคัญที่แล้วเสร็จและจะทยอยแล้วเสร็จในช่วงปี 2562-2569
โดยมีโครงการที่อยู่ระหว่างดำเนินการ เช่น ทางเลี่ยงเมืองหนองคายตอนที่ 1 (ด้านตะวันออก) ทางหลวงพิเศษหมายเลข 81 สายบางใหญ่ –กาญจนบุรี รวมถึงศูนย์การขนส่งชายแดนจังหวัดนครพนม ด่านศุลกากรอรัญประเทศ (บ.หนองเอี่ยน) คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2568 และด่านศุลกากรแม่สอด แห่งที่ 2 คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2569
นอกจากนี้ในด้านการจัดหาพื้นที่พัฒนา เพื่อนำร่องการลงทุนในแต่ละจังหวัดล่าสุด มีรายละเอียดดังนี้
สระแก้ว : ก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรมแล้วเสร็จและเปิดดำเนินการเมื่อเดือนกรกฎาคม 2562 ปัจจุบันมีนักลงทุนเข้าใช้พื้นที่แล้วประมาณ 25 ไร่ คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 6
สงขลา : กนอ. ก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม ระยะที่ 1 แล้วเสร็จ ปัจจุบันมีนักลงทุนเข้าใช้พื้นที่ดำเนินกิจการแล้ว ร้อยละ 69
ตราด : ปัจจุบันเอกชนผู้เช่าพื้นที่พัฒนาอยู่ระหว่างปรับแผนการดำเนินงาน เพื่อเริ่มการก่อสร้างตลาดการค้าชายแดน และในระยะต่อไปจะพัฒนาเป็นเมืองศูนย์กลางการท่องเที่ยวนานาชาติและบริการการค้าระหว่างประเทศครบวงจร
นครพนม และกาญจนบุรี : ปัจจุบันเอกชนผู้เช่าพื้นที่พัฒนาอยู่ระหว่างเตรียมการเข้าใช้พื้นที่ เพื่อพัฒนาด้านอุตสาหกรรม พาณิชยกรรม และโลจิสติกส์ กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม พาณิชยกรรม ศูนย์กระจายสินค้า SMEs OTOP และอุตสาหกรรมทั่วไป
ตาก หนองคาย และมุกดาหาร : กรมธนารักษ์เตรียมเสนอแนวทางการบริหารจัดการที่ราชพัสดุต่อคณะกรรมการนโยบายการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ (กพศ.)