กระทรวงการคลังเผยผลการดำเนินโครงการ “คนละครึ่ง พลัส” ณ วันที่ 7 พฤศจิกายน 2568 เวลา 23.00 น. พบว่า ยอดใช้จ่ายสะสมแตะ 22,579.71 ล้านบาท หลังเปิดใช้สิทธิครบ 10 วัน นับตั้งแต่วันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา สะท้อนการตอบรับของประชาชนและผู้ประกอบการรายย่อยทั่วประเทศอย่างคึกคัก
ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า มีร้านค้าที่ผ่านการตรวจสอบข้อมูลแล้วรวม 878,529 ราย โดยมียอดใช้จ่ายรวม 22,579.71 ล้านบาท แบ่งเป็น
ขณะที่ยอดใช้จ่ายรวม 22,579.71 ล้านบาท แบ่งเป็น
ทั้งนี้ โครงการ “คนละครึ่ง พลัส” เป็นมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาล ที่เปิดให้ประชาชนใช้สิทธิร่วมจ่าย 50 : 50 ระหว่างรัฐและประชาชน ผ่านร้านค้าที่เข้าร่วมทั่วประเทศ รวมถึงร้านอาหารและบริการจัดส่งอาหารออนไลน์ เพื่อช่วยลดค่าครองชีพและเพิ่มเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจฐานราก
ด้านกระทรวงการคลังเดินหน้าออกแบบโครงการ “คนละครึ่งพลัส เฟส 2” เพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายต่อเนื่องต้นปี 2569 โดยเตรียมเสนอเข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ภายในเดือนธันวาคมนี้ เพื่อเริ่มดำเนินโครงการได้ในเดือนมกราคมปีหน้า
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลังเปิดเผยว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการออกแบบรายละเอียดของโครงการ ทั้งรูปแบบการดำเนินงาน เงื่อนไข และกลุ่มเป้าหมาย
โดยเบื้องต้นมีแนวคิดที่จะเปิดให้ “ผู้ได้รับสิทธิโครงการในเฟสแรก” สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมในเฟสที่ 2 ได้อีกครั้ง เพื่อให้เกิดความต่อเนื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
เรากำลังออกแบบโครงการเพื่อความยุติธรรม เช่น หากรอบแรกได้รับ 2,000 บาท เฟส 2 อาจได้เพิ่มอีก 2,000 บาท แต่คนที่เคยได้สิทธิมาแล้ว อาจได้ในอัตราน้อยกว่าผู้ที่เพิ่งเข้าร่วมใหม่ ทั้งหมดอยู่ระหว่างการพิจารณา
นายลวรณกล่าวว่า โมเดลเฟส 2 จะต้องขึ้นอยู่กับวงเงินงบประมาณที่สามารถจัดสรรได้ และจำนวนสิทธิที่ต้องการครอบคลุม โดยเชื่อว่า นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง จะสามารถบริหารงบกลางเพื่อสนับสนุนโครงการได้อย่างเหมาะสม
ทั้งนี้ งบกลางที่ใช้จะไม่สงวนไว้เฉพาะโครงการคนละครึ่งเท่านั้น แต่ยังต้องเผื่อสำหรับภารกิจสำคัญอื่น ๆ เช่น งบช่วยเหลือภัยพิบัติ หรือมาตรการดูแลค่าครองชีพเพิ่มเติม ซึ่งรัฐบาลจะต้องหารือเพื่อจัดสรรงบประมาณให้สมดุล
“ตอนนี้ยังตอบไม่ได้ว่าเฟส 2 จะให้สิทธิเท่าใด แต่ยืนยันว่าโครงการคนละครึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้ระบบเศรษฐกิจ ทำให้บรรยากาศการจับจ่ายกลับมาคึกคัก ร้านค้าฐานรากขายดีขึ้นอย่างชัดเจน”