ครม.ไฟเขียวร่างกม.แรงงาน เลื่อนเก็บเงินสมทบกองทุนลูกจ้างอีก 1 ปี

26 ส.ค. 2568 | 13:20 น.
อัปเดตล่าสุด :26 ส.ค. 2568 | 13:20 น.

ครม.ไฟเขียวร่างกฎหมายแรงงาน 3 ฉบับ เห็นชอบเลื่อนจัดเก็บเงินสะสม-เงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างจากเดิม 1 ต.ค.68 เป็น 1 ต.ค. 69 ระบุ สถานการณ์เศรษฐกิจไม่แน่นอน ภาษีการค้าสหรัฐฯ-ค่าแรงขั้นต่ำพุ่ง กระทบนายจ้าง-ลูกจ้าง

26 สิงหาคม 2568 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันนี้มีมติอนุมัติหลักการร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. .... และร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. .... ตามที่กระทรวงแรงงาน (รง.) เสนอ รวม 3 ฉบับ โดยแต่ละฉบับมีรายละเอียดดังต่อไปนี้ 

1. ร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

สาระสำคัญ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมกำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง จาก "ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป" เป็น "วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป"

2. ร่างกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. ....

สาระสำคัญ เป็นการเลื่อนระยะเวลาการจ่ายเงินสะสมและเงินสมทบเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างออกไปเป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569 ให้สอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

3. ร่างกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

สาระสำคัญ เป็นการแก้ไขเพิ่มเติมวันใช้บังคับกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 โดยให้ใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป เพื่อให้สอดคล้องกับร่างพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง (ฉบับที่ ..) พ.ศ. ....

สำหรับสาระสำคัญของเรื่อง ปัจจุบันได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 กฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์ และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 รวม 3 ฉบับ ซึ่งเป็นการกำหนดวันเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างและอัตราเงินสะสมและเงินสมทบที่ลูกจ้างและนายจ้างต้องส่งเข้ากองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง

รวมทั้งหลักเกณฑ์ต่าง ๆ เกี่ยวกับการดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบ เพื่อเป็นการบรรเทาความเดือดร้อนและสร้างหลักประกันในการทำงานให้กับลูกจ้างกรณีออกจากงานหรือตายและสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 ที่กำหนดให้มีกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเพื่อจัดเก็บเงินสะสมจากลูกจ้างและเงินสมทบจากนายจ้างเพื่อเป็นทุนสงเคราะห์ลูกจ้างในกรณีดังกล่าวพร้อมดอกผล

ตลอดจนกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการเพื่อเป็นทางเลือกให้นายจ้างที่จัดให้มีการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด จะได้รับการยกเว้นให้ลูกจ้างไม่จำต้องเป็นสมาชิกกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง โดยกำหนดให้เริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นต้นไป 

2. กระทรวงแรงงานได้เสนอร่างพระราชกฤษฎีกาและร่างกฎกระทรวง รวม 3 ฉบับในเรื่องนี้เพื่อเลื่อนระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างตามพระราชกฤษฎีกากำหนดระยะเวลาเริ่มดำเนินการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 ออกไปอีก 1 ปี จากวันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นวันที่ 1 ตุลาคม 2569

เมื่อเลื่อนการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบตามร่างพระราชกฤษฎีกาดังกล่าวแล้วจำเป็นต้องเลื่อนเวลาการใช้บังคับของกฎกระทรวงกำหนดอัตราเงินสะสมและเงินสมทบกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้าง พ.ศ. 2567 และกฎกระทรวงกำหนดหลักเกณฑ์และวิธีการจัดการสงเคราะห์แก่ลูกจ้างในกรณีที่ลูกจ้างออกจากงานหรือตาย พ.ศ. 2567 จากมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 เป็นให้มีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2569 เป็นต้นไป ให้สอดคล้องกัน 

เนื่องด้วยสภาพเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันที่มีความไม่แน่นอนจากปัจจัยต่าง ๆ เช่น การขึ้นภาษีทางการค้าของสหรัฐอเมริกา การปรับขึ้นอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ ตลอดจนสถานการณ์ความตึงเครียดจากความขัดแย้งกับประเทศเพื่อนบ้านซึ่งยังไม่มีข้อยุติที่แน่ชัดส่งผลให้สถานประกอบการที่ได้รับผลกระทบต้องปรับตัวและเผชิญกับการแข่งขันที่สูงขึ้นซึ่งกระทบต่อลูกจ้างและนายจ้างโดยตรง

ดังนั้น จึงสมควรเลื่อนระยะเวลาการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวเพื่อคงไว้ซึ่งการจ้างบรรเทาและลดภาระทางการเงินของนายจ้างและลูกจ้างจากภาวะความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ

อย่างไรก็ดี อัตราเงินสะสมและเงินสมทบที่จะเก็บจากลูกจ้างและนายจ้างยังคงเดิม คือ ในระยะ 5 ปีแรก (1 ตุลาคม 2569 – 30 กันยายน 2574) ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.25 ของค่าจ้าง และตั้งแต่ 1 ตุลาคม 2574 เป็นต้นไป ลูกจ้างและนายจ้าง (แต่ละฝ่าย) ต้องนำส่งเข้ากองทุนฯ ในอัตราร้อยละ 0.5 ของค่าจ้าง ในขณะเดียวกันหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ในการจัดเก็บเงินสะสมและเงินสมทบดังกล่าวก็ยังคงเดิมด้วย ทั้งนี้ คณะกรรมการกองทุนสงเคราะห์ลูกจ้างเห็นชอบด้วยแล้ว