เอกชนห่วงความไม่แน่นอนการเมืองซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ-การลงทุน

22 ส.ค. 2568 | 00:59 น.
อัปเดตล่าสุด :22 ส.ค. 2568 | 01:37 น.

ส.อ.ท.ชี้ความไม่แน่นอนการเมืองส่งผบกระทบความเชื่อมั่นนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ระบบยังมีปัญหาหลายด้านต้องรีบแก้ ห่วงซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ

นางสาวแพทางธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม ชี้แจงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่ออกนั่งบัลลังก์ไต่สวนพยานบุคคลกรณีที่ประธานวุฒิสภา ส่งคำร้องของ สว.จำนวน 36 คน ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 170 วรรคสาม ประกอบมาตรา 82 ว่าความเป็นรัฐมนตรีของ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สิ้นสุดลงเฉพาะตัวก่อน 

โดยให้ยื่นแถลงปิดคดีในวันที่ 27 ส.ค.และศาลฯ นัดแถลงด้วยวาจา-ลงมติในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค. 2568

ต่อเรื่องดังกล่าวนายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ระบุว่า ความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ระหว่างรอการอนุมัติหรือรอการเริ่มก่อสร้าง ซึ่งหลายรายอาจชะลอออกไปอย่างไม่มีกำหนด หากสถานการณ์ภายในยังไม่นิ่ง

 

ขณะที่ปัจจัยภายนอก เช่น การกีดกันทางการค้าจากการเก็บภาษีศุลกากรตอบโต้ (Reciprocal Tariff) ของนายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอัตรา 19% รวมถึงปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ซึ่งควบคุมไม่ได้ ก็ถือเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด ซึ่งกระทบต่อการค้าโลก

เอกชนห่วงความไม่แน่นอนการเมือง ซ้ำเติมปัญหาเศรษฐกิจ-การลงทุน

“สิ่งสำคัญคือ ปัจจัยภายใน โดยเฉพาะเสถียรภาพของรัฐบาล เป็นสิ่งที่รัฐต้องเร่งจัดการ เพื่อไม่ให้เสียโอกาสจากการแข่งขันกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยสถานการณ์นี้ต้องอาศัยการเมืองที่เข้มแข็ง มีเอกภาพ และสร้างความเชื่อมั่น ดังนั้น ภาคเอกชนยังคงคาดหวังให้การเมืองไทยมีเสถียรภาพและเข้มแข็ง เพราะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ”

นายเกรียงไกร กล่าวอีกว่า ช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ยังมี 3 ประเด็นสำคัญที่ต้องจับตามองและเร่งแก้ไข ได้แก่ 1. สินค้าจีนทะลักเข้าไทยและภูมิภาค จากการที่สหรัฐ และจีนขยายเวลาเจรจาภาษีออกไปอีก 90 วัน จนถึงเดือนพ.ย.2568 ทำให้ไทยต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่สินค้าจากจีนจะทะลักเข้ามาในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทยในตลาดหลักดังกล่าว

สำหรับช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ สินค้าจีนได้เข้ามาแย่งส่วนแบ่งตลาด ทำให้การส่งออกของไทยไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ลดลงจาก 24-25% เหลือเพียง 21% และที่น่ากังวลคือ สินค้าจีนยังไหลเข้าไทยเพิ่มขึ้นถึง 30% ในช่วงครึ่งปีแรก ซึ่งสอดคล้องกับตัวเลขจีดีดีของจีนที่ยังคงเติบโตได้ดีอยู่ที่ 5.4% แม้เศรษฐกิจภายในจะชะลอตัว

,2.การส่งออกไปสหรัฐฯชะลอตัว โดยคาดการณ์ว่าในช่วงครึ่งปีหลังอาจลดลง เนื่องจากครึ่งปีแรกมีการสต๊อกสินค้าไว้มากแล้ว

และ3. ภาคการท่องเที่ยวซบเซา ซึ่งในช่วง 6 เดือนแรก ตัวเลขนักท่องเที่ยวของไทยลดลงเกือบ 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ดังนั้น ในช่วงครึ่งปีหลังซึ่งเป็นฤดูท่องเที่ยว (High Season) รัฐบาลจำเป็นต้องเร่งออกมาตรการกระตุ้นและหาตลาดใหม่ ๆ เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวให้มากขึ้น

อย่างไรก็ดี ข้อเสนอแนะเพื่อฟื้นเศรษฐกิจที่นอกจากประเด็นที่ต้องเฝ้าระวังแล้ว เมื่อร่างพระราชบัญญัติงบประมาณผ่าน รัฐบาลต้องเร่งเบิกจ่ายให้ทันเวลาและหามาตรการมาเสริมเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ เพื่อสอดรับกับการลงทุนหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีการลดดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ซึ่งถือเป็นมาตรการที่ดีที่จะช่วยสนับสนุนการลงทุนได้ดี

นอกจากนี้ ในเรื่องของการเจรจาการค้าก็สำคัญ ภาครัฐและเอกชนต้องร่วมกันเจรจาต่อรองเรื่องกฎเกณฑ์ถิ่นกำเนิดสินค้า (Rules of Origin ) โดยเฉพาะสัดส่วนถิ่นกำเนิดสินค้าที่สหรัฐต้องการให้เพิ่มจาก 40% เป็น 60% ซึ่งต้องพิจารณาความสามารถในการปรับตัวของแต่ละอุตสาหกรรมด้วย