เปิดแฟ้มครม. 3 หน่วยงาน คอมเม้นต์ กนอ. ขอปรับอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด

19 ส.ค. 2568 | 12:28 น.
อัปเดตล่าสุด :19 ส.ค. 2568 | 12:56 น.

มติครม.ล่าสุด เห็นชอบให้ 'การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย' ปรับขยายเพดาน 'อัตราเงินเดือนขั้นสูงสุด' ตามบัญชีโครงสร้างอัตราเงินเดือนระบบ 53 ขั้น จาก 1.1 แสน เป็น 1.3 แสนบาท เพื่อความเหมาะสม

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า มติคณะรัฐมนตรี(ครม.) ล่าสุดวันนี้ (19ส.ค.68) มีมติเห็นชอบตามที่กระทรวงอุตสาหกรรม (อก.) เสนอให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) ปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของพนักงาน

จากเดิมขั้นที่ 46.5 อัตรา 113,520 บาท เป็นขั้นที่ 52 อัตรา 138,270 บาท ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 ดังนี้

  • ระดับ 12 จาก 113,520 บาท เป็น 138,270 บาท
  • ระดับ 11 จาก 108,810 บาท เป็น 133,770 บาท
  • ระดับ 10 จาก 104,310 บาท เป็น 129,270 บาท
  • ระดับ 9 จาก 95,810 บาท เป็น 124,770 บาท

ทั้งนี้  ให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะรัฐมนตรีมีมติเป็นต้นไป 

สาระสำคัญของเรื่อง

การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย โดยกระทรวงอุตสาหกรรม เสนอคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดของพนักงาน กนอ. จากเดิมขั้นที่ 46.5 อัตรา 113,520 บาท เป็นขั้นที่ 52 อัตรา 138,270 บาท เพื่อให้มีความเหมาะสมสอดคล้องกับการขยายตัวขององค์กรและภารกิจที่เพิ่มขึ้น

เช่น การเพิ่มจำนวนนิคมอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกและพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษตามแนวชายแดน การพัฒนาท่าเรืออุตสาหกรรม รวมทั้งเหมาะสมสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้น

นับแต่การปรับเพิ่มเพดานเงินเดือนสูงสุดของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2550 ตลอดจนอัตราค่าจ้างของหน่วยงานรัฐวิสาหกิจชั้นนำในกลุ่มเดียวกัน และตลาดแรงงาน ภาคเอกชน เช่น เงินเดือนของผู้อำนวยการสำนักงานนิคมอุตสาหกรรม ซึ่งควรสอดคล้องกับเงินเดือนของผู้จัดการโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมอุตสาหกรรม

โดยการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยได้จ้างคณะที่ปรึกษา (สถาบันที่ปรึกษาเพื่อพัฒนาประสิทธิภาพในราชการ) เพื่อวิเคราะห์ความเหมาะสมของอัตราเงินเดือนของพนักงานทุกระดับ (ระดับ 3-12) แล้วนำเสนอข้อมูลประกอบการพิจารณา ซึ่งมีความสอดคล้องกับหลักเกณฑ์เพื่อใช้ในการพิจารณากำหนดค่าตอบแทน ระบบแรงจูงใจและสวัสดิการต่าง ๆ ของรัฐวิสาหกิจในภาพรวมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2560 ต่อคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์

เพื่อขอความเห็นชอบขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงเฉพาะอัตราเงินเดือนขั้นสูงของพนักงานระดับ 9-12 ตามบัญชีโครงสร้างอัตราค่าจ้างของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ระบบ 53 ขั้น ที่คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบในหลักการเมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2558 แต่เป็นการขยายเพดานอัตราค่าจ้างขั้นสูงขึ้นไปสูงกว่าอัตราขั้นสูงที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน จึงต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์และคณะรัฐมนตรีเป็นรายกรณีไปตามมติคณะรัฐมนตรีดังกล่าว

โดยคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ในคราวประชุมครั้งที่ 1/2567 เมื่อวันที่  22 มกราคม 2567 ได้มีมติเห็นชอบการปรับขยายเพดานอัตราเงินเดือนขั้นสูงสุดเป็นขั้นที่ 52 อัตรา 138,270 บาท และสำนักงาน ก.พ. ได้พิจารณาให้ความเห็นในภาพรวมตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 และเห็นด้วยในหลักการตามมติคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ด้วยแล้ว กระทรวงอุตสาหกรรม (การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย) จึงขอเสนอคณะรัฐมนตรีในคราวนี้ ตามที่คณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์มีมติเห็นชอบ

 

เปิดความเห็นหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

โดยเรื่องนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงแรงงาน สำนักงบประมาณ สำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สำนักงาน ก.พ.ร. และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงานในฐานะประธานกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์พิจารณาแล้วเห็นชอบ เห็นด้วยในหลักการไม่ขัดข้อง

โดยมีความเห็นเพิ่มเติมต่าง ๆ เช่น กระทรวงการคลังเห็นว่าเรื่องที่ กระทรวงอุตสาหกรรม เสนอมานี้ เป็นการดำเนินการที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ดังนั้น ในการพิจารณาเรื่องดังกล่าว ควรคำนึงถึงประเด็นความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐ

โดยข้อเสนอในครั้งนี้จะทำให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยมีภาระค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรต่อปีเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ซึ่งไม่กระทบต่อผลประกอบการในภาพรวมอย่างมีนัยสำคัญ และ กนอ. ได้มีการเตรียมแนวทางในการเพิ่มรายได้จากการดำเนินโครงการ รวมทั้งมีแนวทางในการประหยัดค่าใช้จ่ายไว้แล้ว อย่างไรก็ดี กนอ. ควรมีการกำกับติดตามการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าวด้วย

ด้าน "สำนักงบประมาณ" แจ้งว่าหน่วยงานจะขอใช้งบประมาณจากเงินรายได้ของการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยซึ่งจะไม่ส่งผลกระทบต่อสถานะทางการเงินและการนำส่งรายได้ให้แผ่นดิน และมีความเห็นเพิ่มเติมว่า ขอให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย คำนึงถึงสถานะทางการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ มีการจัดทำแผนเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานหรือเพิ่มรายได้อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งแผนบริหารความเสี่ยง เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายบุคลากรที่เพิ่มขึ้น  ตลอดจนเพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อภาระงบประมาณและเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน

ส่วนสำนักงาน ก.พ.ร.  มีความเห็นเพิ่มเติมว่า กระทรวงอุตสาหกรรมควรกำกับให้การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยดำเนินการตามแผนการจัดหารายได้เพื่อชดเชยค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่เพิ่มขึ้นอย่างเคร่งครัด และกำหนดตัวชี้วัดเพื่อติดตามประเมินผลสำเร็จของแผนดังกล่าว