รู้จัก Negative income tax ทุกคนต้องยื่นภาษี 'คลัง‘ เริ่มปี 70

15 ส.ค. 2568 | 04:37 น.
อัปเดตล่าสุด :15 ส.ค. 2568 | 04:44 น.

รู้จัก Negative income tax ทุกคนต้องยื่นแบบภาษี 'คลัง‘ เริ่มปี 70 รายได้ต่ำเกณฑ์รับสวัสดิการ ส่วนรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี

‘Negative income tax’ หรือภาษีเงินได้ติดลบ เป็นแนวคิดที่กระทรวงการคลังศึกษามาอย่างยาวนาน เพื่อนำมาปรับใช้ในระบบสวัสดิการของรัฐได้ถูกฝาถูกตัว โดยล่าสุด กระทรวงการคลังประกาศชัดเจนว่า จะเริ่มใช้ระบบภาษี Negative income tax ตั้งแต่ปี 2570 เป็นต้นไป

รู้จัก Negative income tax 

โดยนายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า กระทรวงการคลัง เดินหน้าพัฒนาฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Data Lake) ให้มีความครอบคลุม และลึกมากยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้ข้อมูลครอบคลุมกว่า 60.8 ล้านคน และ 6 แสนกิจการ โดยจะใช้ข้อมูลดังกล่าวมาบูรณาการร่วมกับนโยบาย Negative income tax  วางเป้าหมายให้สามารถเริ่มใช้ได้ปี 2570 

สำหรับการใช้รูปแบบภาษีดังกล่าว ประชาชนทุกคนจะต้องยื่นแบบภาษี รวมถึงผู้ที่อยากรับสวัสดิการของรัฐด้วย 

  • หากมีรายได้ถึงเกณฑ์จะต้องเสียภาษี 
  • หากรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็จะได้รับสวัสดิการ 

โดยปัจจุบันรัฐมีสวัสดิการเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ข้อมูลต่างๆ กระจัดกระจาย อยู่คนละที่ เช่น การเสียภาษี อยู่ที่กรมภาษี บัตรสวัสดิการ ก็อยู่อีกที่หนึ่ง ฉะนั้น จึงจะปรับให้เป็นการใช้ฐานข้อมูลชุดเดียวกัน 

“negative income tax คือ เรากำหนดให้ผู้ที่มีรายได้มายื่นแบบภาษี หากมีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ ก็จะได้รับสวัสดิการ โดยสวัสดิการที่ตรงความต้องการของรัฐจริง เราไม่เคยมีมิติในเรื่องสุขภาพ ฉะนั้น การใช้ข้อมูล Data Lake เข้ามาบูรณาการจะสามารถตอบในมิติดังกล่าวได้ เพื่อให้รัฐบาลได้จัดสรรงบประมาณมาดูแลได้อย่างตรงจุด”

Negative Income Tax แก้ยากจน ลดเหลื่อมล้ำ

โดยสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือสภาพัฒน์ รายงานว่า Negative Income Tax เป็นกลไกให้ความช่วยเหลือผู้ที่มีรายได้ต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนด เป็นทั้งเครื่องมือที่ช่วยแก้ปัญหาความยากจนและความเหลื่อมล้ำ และเป็นการรวมระบบการหารายได้และการให้ความช่วยเหลือไว้ในระบบเดียว 

ซึ่ง Negative Income Tax มีการปรับใช้ในหลายประเทศทั่วโลก โดยมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกัน ซึ่งจะส่งผลต่อการเงื่อนไขในการเข้าร่วมโครงการและสิทธิประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับ กรณีศึกษาในต่างประเทศ ได้แก่

  • ออสเตรเลีย นำ Negative Income Tax มาใช้ในรูปแบบภาษีสำหรับครอบครัว (Family Tax Benefit: FTB) เพื่อช่วยเหลือครัวเรือนรายได้น้อยในการเลี้ยงดูบุตร โดยจะตรวจสอบทั้งรายได้สุทธิ จำนวนและอายุบุตร ระยะเวลาที่ใช้ในการดูแลบุตร การนำบุตรไปรับวัคซีนตามกำหนด โดยกรณีนี้อาจสะท้อนถึงข้อสังเกตว่าการตั้งเงี่อนไขที่ซับซ้อนอาจเป็นข้อจำกัดในการเข้าถึงการช่วยเหลือของประชาชน
  • สหรัฐฯ มีโครงการ Earned Income Tax Credit (EITC) ที่ให้เครดิตภาษีคืนตามการมีบุตร ทำให้สัดส่วนคนจนของครัวเรือนที่ไม่สมรสและมีสมาชิกที่เป็นเด็ก 3 คน ลดลงถึง 20.2% ขณะที่ครัวเรือนที่ไม่สมรสและไม่มีเด็ก ลดลงเพียง 1.5%
  • สิงคโปร์ มีโครงการ Workfare Income Supplement หรือ WIS (รูปแบบคือ รัฐบาลจะให้เงินโอนแก่ลูกจ้างในรูปของเงินโอนและเงินสมทบในกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ) ซึ่งประเมินคุณสมบัติของผู้มีสิทธิ์ได้รับ WIS จากรายได้รวมต่อเดือน ซึ่งครอบคลุมถึงค่าล่วงเวลา โบนัส และค่าคอมมิชชั่น จึงส่งผลให้แรงงานส่วนหนึ่งลดการทำงานล่วงเวลาลงจากเดิม ซึ่งสะท้อนว่าแม้ Negative Income Tax จะมีส่วนในการกระตุ้นให้ผู้มีรายได้น้อยทำงาน แต่เงื่อนไขบางประการอาจลดแรงจูงใจในการทำงานเพิ่ม 

ทั้งนี้ จากการศึกษาพบว่าประเทศที่สามารถนำ Negative Income Tax มาประยุกต์ใช้ และยังสามารถดำเนินการต่อเนื่อง ส่วนใหญ่เป็นประเทศที่มีสัดส่วนแรงงานนอกระบบต่ำ อาทิ ประเทศสวีเดนที่มีสัดส่วนเพียง 3.3% ขณะที่ประเทศที่เคยนำ Negative Income Tax มาประยุกต์ใช้แต่ปัจจุบันยกเลิก ส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากข้อจำกัดด้านงบประมาณ

Negative Income Tax ต้องปรับใช้พื้นฐานบริบทไทย

อย่างไรก็ตาม แม้การนำ Negative Income Tax  มาปรับใช้ จะมีประโยชน์ทั้งกับประชาชน และภาครัฐ แต่ยังมีประเด็นที่ต้องพิจารณา ได้แก่

1. การกำหนดวัตถุประสงค์ และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการให้ความช่วยเหลือให้มีความชัดเจน บนพื้นฐานบริบทของประเทศไทย

2. การกำหนดเกณฑ์รายได้ และระดับการช่วยเหลือให้มีความเหมาะสม โดยต้องมีการศึกษาเพื่อให้สามารถกำหนดเกณฑ์รายได้ที่สามารถจูงใจให้คนทำงานเพื่อให้มีรายได้เพิ่ม รวมถึงต้องมีการทบทวนเกณฑ์เป็นระยะ เพื่อให้สอดคล้องกับค่าครองชีพ

3. การจัดเตรียมงบประมาณเพื่อใช้สนับสนุนการดำเนินการ Negative Income Tax  และศึกษาผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตของประชาชน และภาระทางการคลัง อาทิ

  • การพิจารณายกเลิกบางมาตรการที่มีความซ้ำซ้อนของสวัสดิการ โดยรวมการช่วยเหลือเป็นระบบเดียว ควบคู่ไปกับการดึงผู้มีรายได้ถึงเกณฑ์ให้เข้าระบบภาษี
  • พร้อมกับกำหนดบทลงโทษ และบังคับใช้อย่างเข้มงวด เพื่อป้องกันแรงจูงใจในการกระทำผิด (Moral hazard)