ไทยลุ้นตัวโก่ง “ทรัมป์” ลดภาษีต่ำกว่า 20% ส่งออกเสี่ยงวูบ 8-9 แสนล้าน

30 ก.ค. 2568 | 05:02 น.
อัปเดตล่าสุด :31 ก.ค. 2568 | 04:44 น.

1 ส.ค. เส้นตายสหรัฐเก็บภาษีตอบโต้ 36% หากเจรจาไม่สำเร็จ อาจกระทบส่งออกไทย 8-9 แสนล้านบาท ขณะคู่แข่งอย่างเวียดนาม-อินโดนีเซียได้อัตรา 19-20% SME เสี่ยงสูญเสียความสามารถแข่งขัน

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ความคืบหน้านโยบายภาษีสหรัฐนั้น ไทยยังเหลือเวลาอีก 3 วัน ก่อนครบกำหนดสหรัฐเก็บอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา (Reciprocal Tariff) จากไทย 36% ซึ่งยังน่าลุ้น อย่างไรก็ตาม หากไม่ทันวันที่ 1 ส.ค.68 คาดว่าสหรัฐจะเลื่อนบังคับใช้ ดูท่าทางแล้ว น่าจะออกมาในทิศทางที่ดี

อย่างไรก็ตาม ส่วนตัวไม่อยากให้สัดส่วนการจัดเก็บภาษีสหรัฐ อยู่ที่อัตรา 25% ขณะที่ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย ได้อัตราภาษี 19% นั้น ตนไม่ทราบข้อเสนอของประเทศอื่น ทราบเท่าที่ตามอ่านข่าวเท่านั้น ซึ่งมองว่าข้อเสนอไทยเป็นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ทั้งสองฝ่าย

ทั้งนี้ ประเทศไทยได้ส่งข้อเสนอใหม่ไปแล้ว 99.99% โดยเรามีการปรับเงื่อนไขทั้งหมดแล้ว และที่เหลือ ยังต้องมาดูร่างสัญญา โดยส่วนนี้ยังใช้เวลาในการดำเนินการ

“หากไม่ทันวันที่ 1 ส.ค.68 คาดว่าสหรัฐจะเลื่อนบังคับใช้ ดูท่าทางแล้ว น่าจะออกมาในทิศทางที่ดี” นายพิชัยกล่าว

รองศาสตราจารย์ ดร.อัทธ์ พิศาลวานิช ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจระหว่างประเทศและอาเซียน เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า ขณะนี้ไทยมีโอกาสที่จะได้รับการปรับลดอัตราภาษีตอบโต้จากสหรัฐอเมริกา จากเดิมที่กำหนดไว้ที่ 36% ก่อนเส้นตายวันที่ 1 ส.ค.นี้ หลังจากที่ไทยและกัมพูชาสามารถบรรลุข้อตกลงหยุดยิงได้สำเร็จ โดยมีผลตั้งแต่เวลา 24.00 น.ของคืนวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ตามเวลาท้องถิ่น

อย่างไรก็ตาม แม้ข้อตกลงหยุดยิงจะมีผลบังคับใช้แล้ว แต่สถานการณ์ในพื้นที่ชายแดนยังคงเปราะบาง โดยเฉพาะรายงานการปะทะเพิ่มเติมหลังการหยุดยิง ซึ่งฝ่ายกัมพูชาถูกระบุว่าเป็นฝ่ายเริ่มต้น ความไม่แน่นอนนี้อาจกลายเป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ ทบทวนจุดยืนการเจรจาด้านภาษีกับไทยและกัมพูชาอีกครั้ง ซึ่งต้องระวัง

อย่างไรก็ดี ก่อนหน้านี้ทรัมป์ได้แสดงท่าทีเชิงบวก หลังหยุดยิงมีผล โดยประกาศว่าจะ “เดินหน้าเจรจาการค้าให้ดีที่สุด” กับทั้งไทยและกัมพูชา หากทั้งสองประเทศสามารถรักษาความสงบได้ต่อเนื่อง

“หากดีลการค้ากับสหรัฐเดินหน้าทันก่อนเส้นตาย 1 สิงหาคมนี้ ก็เชื่อว่าอัตราภาษีที่ไทยจะได้รับ จะลดลงจาก 36% อย่างแน่นอน”

โดย รศ.ดร.อัทธ์ ได้เทียบเคียงดีลประเทศอื่นที่ได้เจรจากับสหรัฐก่อนหน้านี้ และสามารถปิดดีลได้สำเร็จต่างได้รับการปรับลดภาษีลงอย่างมีนัยสำคัญ ได้แก่ เวียดนามจากอัตราภาษี 46% ลดลงเหลือ 20%, อินโดนีเซีย จาก 32% เหลือ 19%, ฟิลิปปินส์ จาก 20% เหลือ 19%, ญี่ปุ่น จาก 25% เหลือ 15% และสหภาพยุโรป (EU-27) จาก 30% ลดเหลือ 15%

ในกรณีของอินโดนีเซีย มีการแลกเปลี่ยนโดยเปิดตลาดสินค้าอเมริกัน ทุกชนิดเป็นภาษี 0% พร้อมเสนอซื้อสินค้าและบริการจากสหรัฐฯ เป็นมูลค่ารวมกว่า 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ประกอบด้วย ซื้อสินค้าเกษตร 4.5 พันล้านดอลลาร์, พลังงาน (LNG และน้ำมัน) 1.5 หมื่นล้านดอลลาร์, และเครื่องบิน Boeing 50 ลำ

สำหรับประเทศไทย ดร.อัทธ์ชี้ว่า ไม่สามารถเปิดตลาดให้กับสินค้าจากสหรัฐแบบ 100% ได้เหมือนอินโดนีเซียหรือฟิลิปปินส์ เนื่องจากจะกระทบต่อภาคการเกษตร อุตสาหกรรม และแรงงานในประเทศหลายกลุ่ม แต่รัฐบาลไทยได้เสนอเปิดตลาดครอบคลุมกว่า 90% ของมูลค่าสินค้า ที่ค้าขายกันในปัจจุบัน และมีรายการสินค้าหลายพันรายการที่เสนอ ลดภาษีนำเข้าเหลือ 0%

ดร.อัทธ์คาดว่า หากข้อเสนอของไทยเป็นที่พอใจของสหรัฐฯ ส่วนตัวมองว่าอัตราภาษีใหม่ที่ไทยจะได้รับคาดจะอยู่ที่ระดับ 20–25% ซึ่งจะถือเป็นระดับที่แข่งขันได้ ซึ่งจะช่วยลดแรงกดดันต่อผู้ส่งออกไทยในหลายกลุ่มสินค้าไม่เสียเปรียบคู่แข่งขันมาก

“อีกไม่กี่อึดใจ เราจะได้เห็นผลเจรจาที่ชัดเจน และสามารถประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจทั้งด้านบวกและลบได้อย่างรอบด้าน” รศ.ดร.อัทธ์ กล่าว

ห่วงปิดดีลไม่จบส่งออกเสียหายหนัก

นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) เปิดเผยว่า หากไทยเจรจาภาษีกับสหรัฐไม่ทันวันที่ 1 ส.ค.2568 จะทำให้สหรัฐจะเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยถึง 36% ครอบคลุมสินค้าทุกประเภท ซึ่งสูงกว่าหลายประเทศคู่แข่งในภูมิภาค อาทิ เวียดนาม 20% อินโดนีเซีย 19% และฟิลิปปินส์ 19% ซึ่งสะท้อนว่าไทยกำลังเสียเปรียบในเชิงการแข่งขัน

ทั้งนี้ อาจส่งผลกระทบต่อภาคการส่งออกไทยโดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่มีสหรัฐเป็นคู่ค้าหลัก เช่น อาหารแปรรูป สินค้าเกษตร ยานยนต์และชิ้นส่วน เครื่องใช้ไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ สิ่งทอ อัญมณี เหล็กและอะลูมิเนียม ซึ่งคาดว่ามูลค่าความเสียหายต่อการส่งออกไทยอาจอยู่ที่ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท

อย่างไรก็ดี แม้ว่าไทยจะส่งข้อเสนอที่ 2 ให้กับสหรัฐแล้ว ซึ่งมีความแตกต่างจากข้อเสนอแรก โดยเฉพาะในเรื่องจำนวนรายการสินค้าที่จะลดภาษีให้เป็น 0% ซึ่งมีจำนวนหลายพันรายการ แต่ยังไม่มีการตอบกลับมา แต่ก็หวังว่าสหรัฐจะพิจารณาข้อเสนอเพิ่มเติมใหม่ดังกล่าว

“หากสหรัฐใช้มาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าสูงสุดถึง 36% สำหรับสินค้าจากไทย อาจกระทบการส่งออกของไทยอย่างมีนัยสำคัญ อีกทั้งยังมีปัญหาการสวมสิทธิ์ การส่งออกของจีนผ่านไทย ซึ่งเพิ่มความเสี่ยงที่ไทยจะถูกสหรัฐใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าได้ในอนาคต”

แนะเร่งปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ

นายแสงชัย ธีรกุลวาณิช ประธานยุทธศาสตร์ สมาพันธ์เอสเอ็มอีไทย เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่ามาตรการการจัดเก็บภาษีของสหรัฐฯ สร้างความสั่นสะเทือนต่อเศรษฐกิจโลก และส่งผลกระทบโดยตรงต่อภาคการส่งออกของไทย แม้มีการส่งทีมเข้าเจรจาเพื่อลดกำแพงภาษีกับสหรัฐอเมริกา และเสนอสิทธิประโยชน์ทางการค้าต่างๆ รวมถึงการเปิดตลาดนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ เพิ่มมากขึ้น

“การเจรจาเพื่อให้ได้มาซึ่งสิทธิประโยชน์ทางการค้า อาจมาพร้อมกับเงื่อนไขที่ประเทศไทยต้องแลกเปลี่ยน เช่น การเพิ่มการนำเข้าสินค้าที่จำเป็นจากสหรัฐฯ หรือความต้องการของสหรัฐฯ อื่นๆ ล้วนเป็นประเด็นอ่อนไหวและส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ”

ทั้งนี้เอสเอ็มอีไทยพึ่งพาตลาดส่งออกไปสหรัฐฯ สูงถึง 20% ของการส่งออกของเอสเอ็มอีไทยทั้งหมด หรือคิดเป็นมูลค่าราว 7,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยมีสินค้าส่งออกสำคัญ ได้แก่ กลุ่มอุปกรณ์ไฟฟ้า อัญมณีและเครื่องประดับ เครื่องจักรและส่วนประกอบ เฟอร์นิเจอร์ และของทำด้วยเหล็กหรือเหล็กกล้า

สำหรับข้อเสนอแนะที่ภาครัฐต้องเร่งดำเนินการ คือ การปรับโครงสร้างเศรษฐกิจไทยอย่างเร่งด่วน, เร่งเจรจา FTA และแสวงหาตลาดใหม่, เพื่อส่งเสริมการค้าการลงทุนเชิงคุณภาพ

พร้อมสร้าง “ดุลยภาพการลงทุน” ทั้ง การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) และ การลงทุนโดยตรงในต่างประเทศ (TDI) เน้นการจ้างงานภายในประเทศ การใช้วัตถุดิบในประเทศ, การถ่ายทอดเทคโนโลยี, และเร่งทบทวนกลไกปราบปรามธุรกิจทุนเทา ปัญหาการสวมสิทธิ์ส่งออก ระบบทุนห้องศูนย์เหรียญ เศรษฐกิจนอกระบบ และโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรม

รวมถึงออกแบบมาตรการ “เศรษฐกิจเชิงรุก” ที่มีประสิทธิภาพ รับการจัดระเบียบโลกใหม่ และบริหาร Value Chain ของประเทศให้แข่งขันได้ เพิ่มการเข้าถึงแหล่งทุนในระบบของประชาชนและเอสเอ็มอี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเอสเอ็มอีที่พึ่งพาแหล่งทุนนอกระบบสูงถึง 31.1% และพึ่งพาทั้งในและนอกระบบร่วมกันถึง 45.9%

“จากการสำรวจของ สสว. พบว่า เอสเอ็มอีได้รับผลกระทบจากสภาวะเศรษฐกิจโลกถึง 22% ซึ่งส่งผลให้ต้นทุนเพิ่ม ยอดขายลดลง และการแข่งขันด้านราคาและคุณภาพสูงขึ้น โดยมีเอสเอ็มอีเพียง 2% เท่านั้นที่มองเห็นเป็นโอกาส เอสเอ็มอี 46% ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อม ขณะที่อีก 54% ยังไม่แน่ใจว่าได้รับผลกระทบ”