นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยภายหลังการลงนามสัญญาจ้างผู้ว่าการ กนอ. คนใหม่ว่า กนอ. ได้ดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอง 73 แห่ง และเปิดใช้งานแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง
ทั้งนี้ กนอ. ยุคใหม่จะไม่ใช่แค่ผู้กำกับดูแล (Regulator) หรือการตั้งเป้ารายได้เพียงแค่หลักหมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่จะต้องสร้างบรรยากาศที่น่าลงทุน ดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอำนวยความสะดวกในนิคมฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้ถึงมูลค่าแสนล้านบาท โดยให้ความสำคัญกับ 3 แนวทางแห่งความยั่งยืน เพื่อหนุน GDP ภาคอุตสาหกรรมให้เติบโต 1-2% ประกอบด้วย
“นโยบายในส่วนของบริษัทที่กนอ. เข้าไปถือหุ้นนั้น กนอ. ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนโดยแบ่งประเภทสถานะของแต่ละหน่วยงานออกเป็นสี เช่น สีแดง เหลือง และเขียว โดยสีแดงนั้นมีน้อยมาก นโยบายคือประคองสถานการณ์ของสีเขียวและเหลืองให้คงอยู่ และเร่งเปลี่ยนสีแดงให้เป็นสีเหลือง"
นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. คนใหม่ กล่าว่า ได้วาง 4 หลักการสำคัญ ในการบริหารงานเพื่อรับมือความท้าทาย ประกอบด้วย
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญของ กนอ. คือการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้เป็นแพลตฟอร์มครบวงจร ที่พร้อมทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะไม่เพียงแค่จัดหาที่ดิน แต่จะเน้นการสร้างความสะดวกสบาย ส่งเสริมพลังงานสะอาดบนพื้นที่กว่า 73 นิคมฯ ที่มีอยู่ เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนและลดต้นทุนที่ดิน
อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนท่ามกลางมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ กนอ. จะมุ่งเน้นความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การสร้างโซลูชั่นที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสมัยใหม่ และออกแบบ มาตรการส่งเสริมการลงทุนพิเศษ (Tax Incentive) เพื่อลดต้นทุนการย้ายฐานการผลิต นอกจากนี้ กนอ. จะพัฒนากำลังคนและนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยหลังจากนี้ไป กนอ. จะไม่เป็นแบบเดิม
”กนอ. ตั้งเป้าหมายเร่งรัดกระบวนการจัดตั้งนิคมฯ ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน จากเดิมที่ใช้เวลานานถึง 8 เดือนถึง 1 ปี รวมถึงพัฒนา One Stop Service และการใช้ข้อมูลร่วมกัน รวมถึงเร่งพัฒนาพื้นที่เป้าหมาย (Land Bank) 5 หมื่นไร่ให้ได้ในปีนี้ ซึ่งสำเร็จไปแล้ว 3 หมื่นไร่ และต้องเร่งอีก 2 หมื่นไร่ที่เหลือ ควบคู่กับการผลักดันเพิ่มพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สู่เป้าหมาย 1 ล้านไร่ในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล กนอ. กำลังศึกษาพื้นที่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) โดยจะหารือกับกระทรวงคมนาคมเรื่องท่าเรือ และกระทรวงพลังงานเรื่องพลังงานไฮโดรเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด
นายสุเมธ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กนอ. มีที่ดินรองรับที่พัฒนาแล้วเหลือประมาณ 2 หมื่นไร่ แต่ภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการถึง 2 แสนไร่ สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตสูงของภาคอุตสาหกรรมไทย แม้ประเด็นด้านภาษีสหรัฐฯ ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาเพราะส่งผลต่อต้นทุนการผลิต รวมถึงนักลงทุนยังมีความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองไทย