เปิดแผนงาน“สุเมธ ตั้งประเสริฐ” ผู้ว่า กนอ.ป้ายแดง ดัน GDP อุตฯ 1-2%

02 ก.ค. 2568 | 08:41 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ค. 2568 | 08:41 น.

เปิดแผนงาน“สุเมธ ตั้งประเสริฐ” ผู้ว่า กนอ. คนใหม่ป้ายแดง มุ่งดัน GDP อุตสาหกรรมโต 1-2% เร่งเพิ่มพื้นที่ลงทุนโค้งสุดท้ายของปีอีก 2 หมื่นไร่

นายยุทธศักดิ์ สุภสร ประธานกรรมการการนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) เปิดเผยภายหลังการลงนามสัญญาจ้างผู้ว่าการ กนอ. คนใหม่ว่า กนอ. ได้ดำเนินการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมเอง 73 แห่ง และเปิดใช้งานแล้วประมาณครึ่งหนึ่ง

ทั้งนี้ กนอ. ยุคใหม่จะไม่ใช่แค่ผู้กำกับดูแล (Regulator) หรือการตั้งเป้ารายได้เพียงแค่หลักหมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่จะต้องสร้างบรรยากาศที่น่าลงทุน ดึงดูดอุตสาหกรรมเป้าหมาย และอำนวยความสะดวกในนิคมฯ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศให้ถึงมูลค่าแสนล้านบาท โดยให้ความสำคัญกับ 3 แนวทางแห่งความยั่งยืน เพื่อหนุน GDP ภาคอุตสาหกรรมให้เติบโต 1-2% ประกอบด้วย

  • เร่งปฏิรูปอุตสาหกรรมสู่เศรษฐกิจยุคใหม่ เน้นความสะอาด สะดวก โปร่งใสในทุกมิติ ตั้งแต่การจัดการมลพิษ การสร้างความเท่าเทียมให้ SMEs การส่งเสริมอุตสาหกรรมสีเขียว การพัฒนาบุคลากร และการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ (Ease of Doing Business)
  • เดินหน้าหนุนการลงทุนและสร้างความยั่งยืน ตามเป้าหมายและตัวชี้วัดของแผนวิสาหกิจ พร้อมผนวกนโยบายฟื้นการลงทุน หนุนผู้ประกอบการ สร้างความยั่งยืน กนอ. จะเป็นผู้เร่งรัดการลงทุน (Investment Enhancer) สร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนผ่านการพัฒนาระบบนิเวศที่เหมาะสม กระตุ้นเม็ดเงินลงทุน และขับเคลื่อนความยั่งยืนด้วย ความเป็นกลางทางคาร์บอน พลังงานสะอาด และนวัตกรรมหมุนเวียน

เปิดแผนงาน“สุเมธ ตั้งประเสริฐ” ผู้ว่า กนอ.ป้ายแดง ดัน GDP อุตฯ 1-2%

  • พัฒนาองค์กรสู่ความเป็นเลิศ (Excellence Organization) จากผลงานโดดเด่นในปีที่ผ่านมาที่ กนอ. คว้าอันดับ 1 ในกลุ่มรัฐวิสาหกิจงบประมาณ 2567 และอันดับ 7 ของรัฐวิสาหกิจทั้งหมดเมื่อรวมกลุ่มปีปฏิทินและปีพิเศษ ดังนั้น กนอ. จะมุ่งมั่นยกระดับองค์กรให้ทันสมัย สร้างผลลัพธ์ทั้งการเงินและไม่ใช่การเงินอย่างต่อเนื่อง

“นโยบายในส่วนของบริษัทที่กนอ. เข้าไปถือหุ้นนั้น กนอ. ให้ความสำคัญกับการสนับสนุนโดยแบ่งประเภทสถานะของแต่ละหน่วยงานออกเป็นสี เช่น สีแดง เหลือง และเขียว โดยสีแดงนั้นมีน้อยมาก นโยบายคือประคองสถานการณ์ของสีเขียวและเหลืองให้คงอยู่ และเร่งเปลี่ยนสีแดงให้เป็นสีเหลือง"

นายสุเมธ ตั้งประเสริฐ ผู้ว่าการ กนอ. คนใหม่ กล่าว่า ได้วาง 4 หลักการสำคัญ ในการบริหารงานเพื่อรับมือความท้าทาย ประกอบด้วย

  • ปราบปรามนิคมเถื่อน โดยจะเข้าตรวจสอบอย่างเข้มข้น ดึงนิคมฯ ผิดกฎหมายกว่า 10 แห่งเข้ามาสู่ระบบอย่างถูกกฎหมาย เพื่อลดผลกระทบและเพิ่มประสิทธิภาพการกำกับดูแล
  • จัดการวงจรนิคมศูนย์เหรียญ เพื่อดึงดูดการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI)
  • รักษาสิ่งแวดล้อม เพื่อสร้างบรรยากาศการลงทุนรับเทรนด์อนาคต
  • สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับประเทศ โดยให้ความสำคัญกับความสะดวกและโปร่งใสในการดูแลผู้ประกอบการ

อย่างไรก็ตาม เป้าหมายสำคัญของ กนอ. คือการพัฒนานิคมอุตสาหกรรมให้เป็นแพลตฟอร์มครบวงจร ที่พร้อมทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยจะไม่เพียงแค่จัดหาที่ดิน แต่จะเน้นการสร้างความสะดวกสบาย ส่งเสริมพลังงานสะอาดบนพื้นที่กว่า 73 นิคมฯ ที่มีอยู่ เพื่อสร้างโอกาสการลงทุนและลดต้นทุนที่ดิน

อย่างไรก็ตาม เพื่อสร้างความเชื่อมั่นนักลงทุนท่ามกลางมาตรการตอบโต้ทางภาษีของสหรัฐฯ กนอ. จะมุ่งเน้นความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ การสร้างโซลูชั่นที่ตอบโจทย์อุตสาหกรรมสมัยใหม่ และออกแบบ มาตรการส่งเสริมการลงทุนพิเศษ (Tax Incentive) เพื่อลดต้นทุนการย้ายฐานการผลิต นอกจากนี้ กนอ. จะพัฒนากำลังคนและนำ AI มาใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน โดยหลังจากนี้ไป กนอ. จะไม่เป็นแบบเดิม

”กนอ. ตั้งเป้าหมายเร่งรัดกระบวนการจัดตั้งนิคมฯ ให้แล้วเสร็จภายใน 2 เดือน จากเดิมที่ใช้เวลานานถึง 8 เดือนถึง 1 ปี รวมถึงพัฒนา One Stop Service และการใช้ข้อมูลร่วมกัน รวมถึงเร่งพัฒนาพื้นที่เป้าหมาย (Land Bank) 5 หมื่นไร่ให้ได้ในปีนี้ ซึ่งสำเร็จไปแล้ว 3 หมื่นไร่ และต้องเร่งอีก 2 หมื่นไร่ที่เหลือ ควบคู่กับการผลักดันเพิ่มพื้นที่ในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) สู่เป้าหมาย 1 ล้านไร่ในอนาคต ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนให้ถูกลงอย่างมีนัยสำคัญ

ในส่วนของการจัดตั้งนิคมอุตสาหกรรมอาหารฮาลาล กนอ. กำลังศึกษาพื้นที่ในจังหวัดสุราษฎร์ธานีและนครศรีธรรมราชในเขตเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ (SEC) โดยจะหารือกับกระทรวงคมนาคมเรื่องท่าเรือ และกระทรวงพลังงานเรื่องพลังงานไฮโดรเจน เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มสูงสุด

นายสุเมธ กล่าวอีกว่า ปัจจุบัน กนอ. มีที่ดินรองรับที่พัฒนาแล้วเหลือประมาณ 2 หมื่นไร่ แต่ภาคอุตสาหกรรมมีความต้องการถึง 2 แสนไร่ สะท้อนถึงศักยภาพการเติบโตสูงของภาคอุตสาหกรรมไทย แม้ประเด็นด้านภาษีสหรัฐฯ ยังคงเป็นสิ่งที่ต้องจับตาเพราะส่งผลต่อต้นทุนการผลิต รวมถึงนักลงทุนยังมีความมั่นใจในเสถียรภาพทางการเมืองไทย