"โครงการแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท ผ่านดิจิทัลวอลเล็ต ระยะที่ 3" หรือเงินดิจิทัลเฟส 3 ในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z อายุ 16 -20 ปี ยังอยู่ภายใต้เครื่องหมายคำถามว่าเป็นแค่การ "ชะลอ" หรือ "ยกเลิก" อย่างไม่เป็นทางการกันแน่
ฐานเศรษฐกิจ หาคำตอบมาให้ หลังจากที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 20 พ.ค. 2568 ด้วยตัวเองว่า มีการทบทวนแผนกระตุ้นเศรษฐกิจวงเงิน 157,000 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
โดยปรับทิศทางจากการแจกเงินไปสู่การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานและการพัฒนาทุนมนุษย์ ซึ่งมองว่าเป็นการลงทุนระยะยาวที่สร้างผลประโยชน์ชัดเจนต่อประเทศ
นายกฯ ชี้แจงว่า การแจกเงินรอบแรกและรอบสองมุ่งเป้าไปที่กลุ่มเปราะบางและผู้สูงอายุ แต่ในรอบที่สามต้องหยุดคิดใหม่เมื่อมีปัจจัยใหม่เข้ามา โดยเฉพาะผลกระทบจากกำแพงภาษีสหรัฐฯ ที่ไม่คาดคิด
"ทำให้ต้องจัดลำดับความสำคัญของงบประมาณ และฟังเสียงจากธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และสภาพัฒน์ (สศช.) ที่เสนอให้ทบทวนวิธีการกระตุ้นเศรษฐกิจให้เหมาะสมยิ่งขึ้นในบริบทโลกที่เปลี่ยนไป" นายกฯ กล่าว
เมื่อถูกถามตรงๆ ว่าเป็นแค่การชะลอหรือยกเลิก นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไม่ได้ใช้คำว่า “ยกเลิก” โดยให้เหตุผลว่า หากสถานการณ์เศรษฐกิจดีขึ้นในอนาคต การกลับมาทำโครงการนี้ก็ยังเป็นไปได้ หากจะให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่ยอมรับว่าขณะนี้ยังไม่ใช่ช่วงเวลาที่เหมาะสมที่สุด
“เราไม่ได้บอกว่ายกเลิก เพราะถ้าในอนาคตสถานการณ์ดีขึ้น และการแจกเงินเป็นมาตรการที่เหมาะสมที่สุด ก็อาจกลับมาทำได้ ตอนนี้คือการทบทวนเพื่อใช้เงินให้เกิดประโยชน์สูงสุดในเวลาที่เหมาะสม” นายกฯ กล่าว
คำถามต่อมา คือเงิน 1.57 แสนล้านบาทนี้จะนำไปทำอะไรแทน? นางสาวแพทองธาร อธิบายชัดว่า เงินก้อนนี้จะถูกโยกไปใช้ในโครงการโครงสร้างพื้นฐาน เช่น การจัดการน้ำเพื่ออุปโภคบริโภคและแก้ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง ซึ่งมองว่าเป็นปัญหาสำคัญระดับประเทศที่ทุกคนได้ประโยชน์ ไม่ใช่เฉพาะบางกลุ่มเหมือนกับการแจกเงินผ่านดิจิทัลวอลเล็ต
ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงแนวทางในการสื่อสารกับประชาชนที่ผิดหวังจากการไม่ได้รับเงินหมื่น นายกฯ ยอมรับว่า พรรคเพื่อไทยจะต้องเร่งสร้างความเข้าใจ เพราะสถานการณ์ที่เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและไม่คาดคิด เช่น มาตรการภาษีจากสหรัฐฯ เป็นเหตุสุดวิสัย และส่งผลให้ต้องเร่งปรับทิศทางนโยบายโดยหลีกเลี่ยงความเสียหายในระยะยาว
ในตอนท้าย นายกฯ ยืนยันว่า เงินก้อนนี้ไม่เกี่ยวกับแผนตั้งรับกำแพงภาษีโดยตรง เพราะจะหมดอายุการใช้ภายใน 30 ก.ย. 2568 จึงต้องเร่งนำไปใช้เพื่อประโยชน์ระยะสั้น ขณะที่แนวทางรับมือภาษีจากสหรัฐฯ จะถูกบรรจุไว้ในนโยบายระดับกลางถึงยาว และมีความเป็นไปได้ว่าจะต้องใช้งบเพิ่มเติมในอนาคตจากเงินกู้ 500,000 ล้านบาทที่กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่