การปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หรือ “ค่าแรงขั้นต่ำ” รอบใหม่ 400 บาทต่อวัน ตามนโยบายของรัฐบาล ดูเหมือนจะไม่ง่ายนัก หลังมีการเรียกประชุมคณะกรรมการค่าจ้างชุดที่ 22 (บอร์ดไตรภาคี) เมื่อปลายเดือนเมษายน 2568 ที่ผ่ามา แต่ยังไร้ข้อสรุป โดย นายบุญสงค์ ทัพชัยยุทธ์ ปลัดกระทรวงแรงงาน ในฐานะประธานคณะกรรมการค่าจ้าง ระบุว่าที่ประชุมมีความเห็นที่ต่างกัน เห็นด้วยส่วนหนึ่ง ไม่เห็นด้วยอีกส่วน และให้จัดทำข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อนำมาพิจารณาในรายละเอียดอีกครั้ง
ต่อมา นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงาน ให้ความเห็นถึงประเด็นขึ้น “ค่าแรงขั้นต่ำ” รอบใหม่ 400 บาทต่อวัน เมื่อวันแรงงานแห่งชาติ 1 พฤษภาคม 2568 ระบุว่า รัฐบาลจะพยายามผลักดันการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท ให้เสร็จสิ้นภายในเดือนพฤษภาคม นี้ เพื่อเป็นของขวัญให้ผู้ใช้แรงงานต่อไป พร้อมให้ติดตามการประชุมบอร์ดไตรภาคีที่จะเกิดขึ้นในเดือนพ.ค.นี้
อย่างไรก็ดีหากย้อนไปยังการประชุมนัดก่อน พบว่า ได้มีการหารือถึงเรื่องการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หรือ “ค่าแรงขั้นต่ำ” รอบใหม่ 400 บาทต่อวัน อย่างเข้มข้น โดยดร.ธนิต โสรัตน์ รองประธานสภาองค์การนายจ้างผู้ประกอบการค้า และอุตสาหกรรมไทย (ECONTHAI) เปิดเผยถึงประเด็นที่ประชุมคณะกรรมการค่าจ้าง ถกเถียงเพื่อหาข้อสรุปการปรับค่าจ้างขั้นต่ำ หรือค่าแรงขั้นต่ำรอบใหม่ โดยมีเป้าหมาย 400 บาทต่อวัน รวม 5 ประเด็น ดังนี้
1. นายจ้างไม่เห็นด้วย
เนื่องจากค่าจ้างที่ใช้อยู่เพิ่งปรับไปเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2568 เพียงแค่ 4 เดือนปรับใหม่เห็นว่าไม่สมควรขณะที่เศรษฐกิจที่ผ่านมาไม่เอื้ออัตราเงินเฟ้อต่ำ กอปรทั้งมีความเสี่ยงจากนโยบายสหรัฐฯ ปรับขึ้นภาษีอัตราร้อยละ 10 ซึ่งมีผลบังคับใช้แล้ว รอบต่อไปอัตราร้อยละ 36 เริ่มมีผลบังคับใช้ 9 กรกฎาคม ซึ่งอยู่ระหว่างการนัดเจรจากับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (USTR) ทราบว่าขณะนี้ทางสหรัฐฯ ยังไม่รับนัด
หากการเจรจาไม่ประสบความสำเร็จเศรษฐกิจในครึ่งปีหลังจะมีความเสี่ยงอาจถึงขั้นหดตัวกระทบต่อการปิดตัวของสถานประกอบการและการเลิกจ้าง
2. ตัวแทนภาครัฐก้ำกึ่งกันไม่เห็นด้วย
เท่าที่รับทราบผู้แทนจากกระทรวงที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจบางส่วนไม่เห็นด้วยกับการปรับค่าจ้างในช่วงเวลานี้ เนื่องจากภาวะเศรษกิจมีความเสี่ยงจากสงครามการค้าทั้งกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) และธนาคารโลกปรับลดการเติบโตของเศรษฐกิจโลกรวมถึงเศรษฐกิจไทยอาจขยายตัวในอัตราต่ำเป็นการหดตัวมากกว่าที่ประเมินไว้
สถานการณ์เช่นนี้ไม่ใช่จังหวะที่จะปรับค่าจ้างควรเน้นนโยบายการรักษาการจ้างงานเหตุผลเพราะส่งออกเป็นภาคส่วนที่อยู่ใน GDP สัดส่วนร้อยละ 57 เกี่ยวข้องกับโซ่อุปทานทั้งภาคการผลิต-บริการ เกษตรกรรม มีการจ้างงานแรงงานมากกว่า 1 ใน 3 ของกำลังแรงงานทั้งประเทศ
3. การปรับค่าจ้างภาคท่องเที่ยวและบริการ
ที่ผ่านมามีการปรับค่าจ้าง 400 บาทจังหวัดภูเก็ต จังหวัดชลบุรีซึ่งเป็นแหล่งท่องเที่ยวและอำเภอเกาะสมุย แต่การผลักดันทั่วประเทศอาจกระทบกับโรงแรมและสถานบริการที่อยู่ในเมืองรอง
อีกทั้งสถานการณ์เศรษฐกิจโลกจากนโยบายประธานาธิบดีทรัมป์ อาจได้รับผลกระทบหน่วยงานของรัฐที่เกี่ยวข้องมีการปรับประมาณการณ์นักท่องเที่ยงวต่างชาติ ปี 2568 ลดลงเหลือ 35 ล้านคน จากเป้าที่ตั้งไว้ 39 ล้านคน โดยเฉพาะตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนหายไปกว่า 1 ใน 2
4. เศรษฐกิจไทยมีความอ่อนแอ
ในการประชุมกรรมการค่าจ้างหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจให้ข้อมูลว่าในปีที่ผ่านมานิติบุคคลที่จดทะเบียนยกเลิกกิจการมีจำนวน 23,679 ราย และที่ปิดกิจการโดยยังไม่แจ้งมีจำนวนประมาณ 29,000 ราย
อีกทั้งผลกระทบจากสงครามการค้าเศรษฐกิจมีความเสี่ยงสูงมีการปรับลดการเติบโตทางเศรษฐกิจลงและกรณี Worst Case Scenario สหรัฐอเมริกาไม่ยกเลิกมาตรการหรือเจรจาภาษีไม่สำเร็จอาจหดตัวและอาจเป็นวิกฤตเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ข้อมูลที่มาสนับสนุนให้มีการปรับค่าจ้างเป็นข้อมูลพื้นฐานภายใต้เศรษฐกิจที่เปราะบางและไม่แน่นอนสูงการปรับค่าจ้างอาจไม่เหมาะสมและ/หรือควรใช้หลักวิชาการในการพิจารณา
5. สรุปการปรับค่าจ้าง 400 บาทช่วง 1 พฤษภาคม 2568 ไม่สามารถตกลงกันได้
เนื่องจากคณะกรรมการมีความเห็นไม่ตรงกัน หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับแรงงานรับที่จะไปหาข้อมูลเศรษฐกิจใหม่ให้เอื้อต่อการปรับค่าจ้าง อาจมีการประชุมครั้งต่อไปในเดือนพฤษภาคมคงเป็นหลังการเลือกตั้งและแต่งตั้งคณะกรรมการค่าจ้างชุดใหม่ซึ่งเดือนพฤษภาคมอาจไม่ทัน
อย่างไรก็ตามผลของการปรับขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ หรือ “ค่าแรงขั้นต่ำ” รอบใหม่ 400 บาทต่อวัน หลังจากการประชุมบอร์ดไตรภาคี เดือนพฤษภาคม 2568 นี้ จะออกมาอย่างไรคงต้องติดตามกันอย่างใกล้ชิด