“ฐานเศรษฐกิจ” ได้เกาะติดความคืบหน้าการปรับฐานเงินเดือนข้าราชการ รัฐวิสาหกิจ และครูอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด มติ ครม. เมื่อวันอังคารที่ 22 เมษายน 2568 ที่ผ่านมา ครม. เห็นชอบการปรับค่าจ้างชดเชยให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราแรกบรรจุของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ เป้าหมายของการปรับเงินเดือนรัฐวิสาหกิจเพื่อยกระดับรายได้ให้สอดคล้องกับอัตราเงินเดือน โดยรัฐบาลได้ให้งบประมาณกว่า 1,000 ล้านบาท
นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบการกำหนดขอบเขตสภาพการจ้างที่เกี่ยวกับการเงิน ตามพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 มาตรา 13 (2) ซึ่งให้รัฐวิสาหกิจแต่ละแห่งสามารถดำเนินการเองได้เมื่อคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเห็นชอบแล้วในเรื่องการปรับค่าจ้างชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างแรกบรรจุของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ
โดยมีหลักเกณฑ์และอัตราการจ่าย รวมทั้งวันที่มีผลใช้บังคับให้เป็นไปตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1012.3/ว 9 ลงวันที่ 9 เมษายน 2567 เรื่องการกำหนดอัตราเงินเดือนสำหรับคุณวุฒิที่ ก.พ. รับรอง หากรัฐวิสาหกิจแห่งใดไม่ดำเนินการตามแนวทางการปรับค่าจ้างชดเชยดังกล่าว ให้สามารถพิจารณาดำเนินการตามแนวทางที่เหมาะสมกับองค์กรได้ ทั้งนี้ กรอบวงเงินในการชดเชยโดยรวมต้องไม่สูงกว่าแนวทางการปรับค่าจ้างชดเชยของทางราชการตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ดังกล่าว ซึ่งเป็นไปตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ (ครรส.) เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 ตามที่กระทรวงแรงงานเสนอ
นายคารม กล่าวเพิ่มเติมว่า กระทรวงแรงงานได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบการปรับค่าจ้างชดเชยให้แก่ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราค่าจ้างแรกบรรจุของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ตามมติคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์เมื่อวันที่ 5 กันยายน 2567 โดยกำหนดหลักเกณฑ์และอัตราการจ่าย รวมทั้งวันที่มีผลใช้บังคับตามหนังสือสำนักงาน ก.พ. ที่ นร 1012.3/ว 9 ลงวันที่ 9 เมษายน 2567 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์และวิธีการเดียวกับที่ใช้ในการกำหนดอัตราเงินเดือนแรกบรรจุและการปรับเงินเดือนชดเชยผู้ได้รับผลกระทบของข้าราชการ และเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน 2566
หากรัฐวิสาหกิจแห่งใดไม่ดำเนินการตามแนวทางนี้ สามารถพิจารณาแนวทางที่เหมาะสมกับองค์กรได้เอง โดยต้องไม่เกินกรอบวงเงินที่ราชการกำหนดไว้ ซึ่งครั้งนี้เป็นการขอความเห็นชอบเฉพาะในส่วนของลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบเท่านั้น
ระดับปริญญาตรี อัตราแรกบรรจุไม่ต่ำกว่า 16,500 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2567
และไม่ต่ำกว่า 18,150 บาท ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2568 อัตราเงินเดือนที่รวมค่าชดเชยแล้ว ต้องไม่น้อยกว่าอัตราเงินเดือนของผู้ที่เข้าทำงานใหม่ (คนเก่าต้องไม่น้อยกว่าคนใหม่) ทั้งนี้ กรณีนี้ต้องได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ และคณะรัฐมนตรี ก่อนจึงจะสามารถดำเนินการได้ ตามมาตรา 13 วรรคสาม แห่งพระราชบัญญัติแรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543
ส่วนการปรับอัตราค่าจ้างแรกบรรจุของรัฐวิสาหกิจนั้น เป็นอำนาจของคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจแต่ละแห่ง ซึ่งสามารถดำเนินการได้เองตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 7 เมษายน 2547 โดยใช้งบประมาณของรัฐวิสาหกิจเอง และต้องไม่กระทบต่อภาระงบประมาณแผ่นดิน ทั้งนี้ คณะรัฐมนตรีเคยมีมติเมื่อวันที่ 31 มีนาคม 2558 เห็นชอบในหลักการนี้มาแล้ว
การปรับค่าจ้างชดเชยครั้งนี้มีเป้าหมายเพื่อยกระดับรายได้ของพนักงานและลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ให้สอดคล้องกับการปรับอัตราเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา และแนวทางการชดเชยของข้าราชการและเจ้าหน้าที่ของรัฐ ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2555 ซึ่งเป็นลักษณะเดียวกับที่กระทรวงแรงงานเสนอในครั้งนี้ โดยในปี 2557 เคยมีการปรับอัตราแรกบรรจุระดับปริญญาตรีเป็นไม่ต่ำกว่า 15,000 บาทมาแล้ว
ทั้งนี้ กระทรวงการคลัง กระทรวงคมนาคม กระทรวงพลังงาน กระทรวงมหาดไทย สำนักงบประมาณ สำนักงาน ก.พ. สำนักงานสภาพัฒน์ และสำนักงาน ก.พ.ร. ได้พิจารณาแล้วและไม่ขัดข้อง
“การปรับค่าจ้างชดเชยให้ลูกจ้างที่ได้รับผลกระทบจากการปรับอัตราแรกบรรจุของลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ ครั้งที่ 1 (1 พฤษภาคม 2567) มีลูกจ้างรัฐวิสาหกิจ จำนวน 58,655 คน ที่จะได้รับการปรับค่าจ้างชดเชย โดยรัฐวิสาหกิจต้องจ่ายชดเชยให้แก่ลูกจ้างจำนวน 61,164 คน รวมเป็นวงเงิน 1,159.11 ล้านบาท ซึ่งกระทรวงแรงงานได้ดำเนินการตามมาตรา 7 และมาตรา 27 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 เรียบร้อยแล้ว” นายคารม ระบุ.