“มาเก๊า” หรือ เขตบริหารพิเศษมาเก๊าแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ถือเป็นหนึ่งในแม่แบบการพัฒนาอุตสาหกรรมการพนันถูกกฎหมายที่สร้างรายได้มหาศาลให้กับประเทศ จนกลายเป็น "ลาสเวกัสแห่งเอเชีย" ที่มีมูลค่าตลาดสูงกว่าลาสเวกัสของสหรัฐอเมริกาถึง 7 เท่า แม้ในช่วงหลังจะเผชิญความท้าทาย แต่รูปแบบการบริหารจัดการและกฎหมายที่ชัดเจนของมาเก๊าเป็นกรณีศึกษาสำคัญสำหรับประเทศที่พิจารณาต่อยอดไปสู่การสร้างสถานบันเทิงครบวงจร
การพนันในมาเก๊ามีประวัติศาสตร์ยาวนานกว่า 170 ปี โดยถูกทำให้เป็นเรื่องถูกกฎหมายตั้งแต่ปี 1850 ในสมัยที่โปรตุเกสปกครอง ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการวางรากฐานอุตสาหกรรมการพนันที่เข้มแข็ง การเปลี่ยนผ่านจากอาณานิคมโปรตุเกสมาเป็นเขตบริหารพิเศษของจีนในปี 1999 ไม่ได้ทำให้สถานะของการพนันเปลี่ยนแปลงไป แต่กลับได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่องภายใต้นโยบาย "หนึ่งประเทศ สองระบบ"
จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในปี 2004 เมื่อเปิดกาสิโนเวเนเชี่ยน (Venetian) ซึ่งเป็นความร่วมมือกับนักลงทุนต่างชาติ นำโดย Las Vegas Sands Corporation ที่นำแนวคิดรีสอร์ทครบวงจร (Integrated Resort) มาปฏิวัติวงการ ทำให้กาสิโนไม่ใช่เพียงสถานที่เล่นการพนัน แต่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่มีโรงแรมหรู ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และสถานบันเทิงครบวงจร
ความสำเร็จของมาเก๊าสะท้อนผ่านตัวเลขทางเศรษฐกิจที่ชัดเจนง โดยอุตสาหกรรมการพนันมีสัดส่วนถึง 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ซึ่งตัวเลขนี้แสดงให้เห็นถึงการพึ่งพารายได้จากการพนันอย่างมีนัยสำคัญ
การเติบโตอย่างก้าวกระโดดเห็นได้ชัดจากมูลค่าตลาดที่เพิ่มขึ้นจาก 5,000 ล้านเหรียญสหรัฐ ในปี 2005 เป็น 44,000ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2013 ซึ่งถือเป็นจุดสูงสุด ส่งผลให้กาสิโนในมาเก๊าเพิ่มจำนวนอย่างรวดเร็วจนมีถึง 41 แห่งในปี 2019 สร้างการจ้างงานและกระตุ้นธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องมากมาย
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้มาเก๊าประสบความสำเร็จคือการเป็นแหล่งเดียวในจีนที่การพนันถูกกฎหมาย ทำให้นักท่องเที่ยวชาวจีนหลั่งไหลเข้ามาเล่นการพนัน โดยสัดส่วนถึง 2 ใน 3 ของนักท่องเที่ยวทั้งหมดเป็นชาวจีนแผ่นดินใหญ่
ความสำเร็จของมาเก๊าไม่ได้เกิดจากการเปิดเสรีโดยปราศจากการควบคุม แต่อยู่ภายใต้กรอบกฎหมายที่เข้มงวดและชัดเจน โดยมีกฎหมายหลักที่สำคัญ ได้แก่
พร้อมกันนี้รัฐบาลมาเก๊าจัดตั้ง "คณะกรรมการกำกับดูแลและตรวจสอบการเล่นเกมของมาเก๊า" (Gaming Inspection and Coordination Bureau หรือ DICJ) เพื่อทำหน้าที่กำกับดูแลอุตสาหกรรมการพนันโดยเฉพาะ มีอำนาจในการออกใบอนุญาต ตรวจสอบ และบังคับใช้กฎหมาย
ระบบสัมปทานเป็นหัวใจสำคัญของการควบคุม โดยรัฐบาลจำกัดจำนวนผู้ที่ได้รับสัมปทาน และมีการกำหนดอายุสัมปทานที่ชัดเจน ทำให้รัฐสามารถควบคุมทิศทางของอุตสาหกรรมได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้มาเก๊ามีรูปแบบธุรกิจที่เป็นเอกลักษณ์ที่เรียกว่า "Junket Operators" ซึ่งเป็นตัวกลางที่นำนักพนันวีไอพีจากจีนแผ่นดินใหญ่มาเล่นที่มาเก๊า โดยจัดหาเครดิต อำนวยความสะดวก และดูแลลูกค้าตลอดการเดินทาง ในไตรมาสแรกของปี 2016 รายได้กว่าร้อยละ 54 ของกาสิโนมาจาก Junket Operators เหล่านี้
นอกจากนี้ กาสิโนยังแบ่งกลุ่มลูกค้าเป็น 3 ระดับหลัก คือ
หลังจากปี 2013 ซึ่งเป็นช่วงที่ธุรกิจการพนันของมาเก๊าเติบโตสูงสุด ตลาดเริ่มเผชิญกับความท้าทายอย่างมีนัยสำคัญ รายได้ขั้นต้นของกาสิโนลดลงถึง 34% ในปี 2015 และยังคงลดลงต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปี 2016 อีก 13%
สาเหตุหลักมาจากการปราบปรามคอร์รัปชั่นในจีน ทำให้นักพนันวีไอพีหายไปจำนวนมาก รวมถึงการเข้มงวดในการควบคุมการเคลื่อนย้ายเงินทุนออกนอกประเทศจีน
อย่างไรก็ดีเพื่อตอบสนองต่อความท้าทายนี้ มาเก๊าได้ปรับกลยุทธ์โดยเน้นการพัฒนาตลาด Mass-Premium มากขึ้น รวมถึงการเพิ่มสถานบันเทิงที่หลากหลายเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไม่ได้มาเพื่อการพนันเพียงอย่างเดียว มีการเปิดตัวโชว์ระดับโลก ร้านอาหารหรู และกิจกรรมบันเทิงสำหรับครอบครัวมากขึ้น
หากเทียบเคียงกับบริบทของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันการพนันส่วนใหญ่ยังคงผิดกฎหมายตามพระราชบัญญัติการพนัน พ.ศ. 2478 (ยกเว้นสลากกินแบ่งรัฐบาลและการแข่งม้า) มีบทเรียนสำคัญที่สามารถนำมาพิจารณาได้ ทั้งการออกแบบกฎหมายที่ครอบคลุม การจัดตั้งหน่วยงานกำกับดูแลโดยเฉพาะ การสร้างระบบสัมปทานที่โปร่งใส มีมาตรการป้องกันปัญหาสังคม รวมไปถึงการกระจายประโยชน์ทางเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ตามในการปรับใช้โมเดลมาเก๊าในไทยแม้จะมีบทเรียนที่ดีจากมาเก๊า แต่ประเทศไทยต้องพิจารณาบริบทที่แตกต่างกันให้ชัด ทั้งบริบททางวัฒนธรรมและศาสนา ฐานผู้เข้าไปใช้บริการ การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน และที่สำคัญ นั่นคือการป้องกันอาชญากรรมและปัญหาเชิงสังคมให้หนัก
ที่สำคัญไปกว่านั้นไม่ว่าจะเลือกทิศทางใด สิ่งสำคัญคือการตัดสินใจบนพื้นฐานของข้อมูลที่รอบด้าน และการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในสังคม เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและเป็นประโยชน์ต่อประเทศโดยรวมเป็นสำคัญ