โครงการรถไฟความเร็วสูง (ไฮสปีดเทรน ) เชื่อม3สนามบิน ( ดอนเมือง-สุวรรณภูมิ-อู่ตะเภา) ระยะทาง 220 กิโลเมตร มูลค่า 224,544 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมลงทุนระหว่าง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และบริษัท เอเชียเอราวัน จำกัด เครือซีพี ฐานะคู่สัญญา โดยลงนามสัญญา ตั้งแต่ ปี 2562 ภายใต้รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา
จังหวะนั้นเกิด สถานการณ์โควิดแพร่ระบาด เศรษฐกิจชะลอตัว สถาบันการเงินเข้มงวดปล่อยสินเชื่อโครงการขนาดใหญ่ เพื่อให้เกิดความยืดหยุ่นโดยเฉพาะทางด้านการเงิน และเพื่อให้โครงการเดินหน้าต่อได้
จึงนำมาซึ่งการแก้ไขสัญญาเป็นสาเหตุให้การก่อสร้างไฮสปีดเชื่อม3สนามบินล่าช้าออกไป กว่า6ปี โดยประเด็นที่ถกเถียงกันนาน กว่าจะลงตัว คือ การให้เอกชนก่อสร้างสถานีพื้นที่ทับซ้อนไฮสปีด ไทย-จีน กับ ไฮสปีดเชื่อม3สนามบิน ช่วงดอนเมือง บางซื่อ
ในขณะเอกชน เกรงว่าจะเกิดงบประมาณค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น โดยเสนอข้อแลกเปลี่ยน “สร้างไปจ่ายไป” แต่ภาครัฐเกรงว่าจะกระทบความเชื่อมั่นและเอกชนอาจทิ้งงาน โดยยึดการ จ่ายค่างวดงานหลังจากก่อสร้างเสร็จและเปิดให้บริการเดินรถ เป็นเวลา10งวด
ในที่สุดต้องพบกันครึ่งทางเอกชนต้องดำเนินการเร่งด่วนก่อนคือ ออกแบบโครงสร้างร่างร่วม และเริ่มการก่อสร้างบริเวณใต้รันเวย์ ที่ 2 สนามบินอู่ตะเภา และบางซื่อ-ดอนเมือง บริเวณที่มีโครงสร้างร่วมกับโครงการรถไฟไทย-จีน (สัญญา 4-1)และรัฐยอมในข้อตกลง “สร้างไปจ่ายไป”แต่เอกชนต้องวางเงิน160,000ล้านบาทเป็นหลักประกันภายใน5ปี หากสร้างไม่เสร็จตามกำหนดสามารถยึดเงินดังกล่าวได้
ล่าสุด ได้เห็นสัญญาณความก้าวหน้าในการก่อสร้าง หลังจาก คณะกรรมการการรถไฟแห่งประเทศไทย (บอร์ด รฟท.) ได้พิจารณาเห็นชอบ ร่างสัญญาร่วมลงทุน ไฮสปีด เชื่อม3สนามบิน ฉบับแก้ไขแล้ว และคาดว่ารฟท.และภาคเอกชนจะลงนามภายใต้สัญญาใหม่ ในเดือนมิถุนายน 2568
โดย เอกชนเริ่มงานหลังจากออกหนังสือแจ้งเริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) ใช้เวลาก่อสร้าง 5 ปี นับจากวันที่ออกหนังสือเริ่มแจ้งงาน และคาดว่าจะดำเนินการเสร็จและสามารถเปิดให้บริการในช่วงปี 2572
สำหรับ5สัญญาใหม่ที่แก้ไขคือ
1. วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน (Public Investment Cost : PIC) จากเดิม รัฐจะจ่ายเมื่อเอกชนเปิดเดินรถไฟความเร็วสูง โดยรัฐจะ “แบ่งจ่าย” เป็นเวลา 10 ปี ปีละเท่า ๆ กัน รวมเป็นเงิน 149,650 ล้านบาท เปลี่ยนมาเป็นรัฐจะจ่ายเป็นงวดตามความก้าวหน้าของงานก่อสร้างที่ ร.ฟ.ท.ตรวจรับ วงเงินไม่เกิน 120,000 ล้านบาท
แต่มีเงื่อนไขให้เอเชีย เอรา วัน ต้องวางหลักประกันเพิ่มเติมจากสัญญาเดิม รวมเป็นจำนวน 152,164 ล้านบาท เพื่อประกันว่างานก่อสร้างและรถไฟความเร็วสูงจะเปิดให้บริการได้ภายในระยะเวลา 5 ปี กรรมสิทธิ์สิ่งปลูกสร้างจะทยอยตกเป็นของ รฟท.ทันทีตามงวดการจ่ายเงินนั้น ๆ
2. การกำหนดการชำระค่าสิทธิให้ร่วมลงทุนในโครงการแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) จะให้เอเชีย เอรา วัน แบ่งชำระค่าสิทธิ จำนวน 10,671.09 ล้านบาท ออกเป็น 7 งวด เป็นรายปี ในจำนวนแบ่งชำระเท่า ๆ กัน แต่บริษัทจะต้องชำระงวดแรก ณ วันที่ลงนามแก้ไขสัญญากับ รฟท.และบริษัทยังต้องวางหนังสือค้ำประกันที่ออกโดยธนาคารในมูลค่าเท่ากับค่าสิทธิ ARL รวมถึงค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับการเงินอื่น ๆ ที่ ร.ฟ.ท.จะต้องรับภาระด้วย
3. การกำหนดส่วนแบ่งผลประโยชน์ตอบแทน (Revenue Sharing) เพิ่มเติม หากในอนาคตอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ของโครงการลดลงอย่างมีนัยสำคัญและเป็นผลทำให้เอเชีย เอรา วัน ได้ผลประโยชน์ตอบแทน (IRR) เพิ่มขึ้นเกินกว่า 5.52% แล้วก็จะให้สิทธิ รฟท.เรียกให้บริษัทชำระส่วนแบ่งผลประโยชน์เพิ่มได้ตามแต่จะตกลงกันต่อไป
4. การ “ยกเว้น” เงื่อนไขการออกหนังสือแจ้งให้เริ่มงาน (Notice to Proceed : NTP) ให้คู่สัญญาจัดทำบันทึกความตกลงยกเว้นเงื่อนไข NTP ที่ยังไม่สำเร็จ (การรับบัตรส่งเสริมการลงทุนจากบีโอไอ) เพื่อให้ ร.ฟ.ท.สามารถออกหนังสือ NTP ให้กับเอเชีย เอรา วัน ได้ทันทีหลัง 2 ฝ่ายลงนามในการแก้ไขสัญญา และ
5. ป้องกันการเกิดปัญหาในอนาคตที่อาจเกิดขึ้นจากเหตุการณ์ที่ส่งผลกระทบรุนแรงต่อสถานะทางการเงินของโครงการ โดยทำการปรับปรุงข้อสัญญาในส่วนของ “เหตุสุดวิสัย” กับ “เหตุผ่อนปรน” ให้สอดคล้องกับสัญญาร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชนในโครงการอื่น
ทั้งนี้ นายอนันต์ โพธิ์นิ่มแดง รองผู้ว่าการการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) กล่าวว่า สาระสำคัญของการแก้ไขสัญญาร่วมลงทุนครั้งนี้มี 2 ประเด็นหลัก
1.วิธีชำระเงินที่รัฐร่วมลงทุน ซึ่งบอร์ด รฟท.กำชับว่ารัฐต้องไม่เสียประโยชน์ โดย รฟท.ยืนยันว่าวิธีการนี้ไม่ทำให้รัฐเสียประโยชน์ เนื่องจากการปรับมาเป็นวิธีการสร้างไปจ่ายไป โดยหลังชำระค่าก่อสร้างแล้ว รัฐจะเป็นผู้ถือกรรมสิทธิ์ในงานโยธา
2.ข้อกำหนดให้เอกชนคู่สัญญา คือ บริษัทเอเชีย เอราวัน ต้องวางเงินหลักประกัน หรือ แบงก์การันตีเพิ่มเติมจากกรอบสัญญาเดิมรวมประมาณ 160,000 ล้านบาท เพื่อรับประกันว่าจะก่อสร้างเสร็จภายใน 5 ปี
ขณะ หลักประกันที่เอกชนต้องนำมาวางในโครงการนี้ จึงจะแบ่งออกเป็นหลักประกันตามสัญญาเดิม 2 ส่วน คือ หลักประกันสัญญา วงเงิน 4,500 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี ,หนังสือค้ำประกันผู้ถือหุ้น วงเงิน 149,650 ล้านบาท ตลอดสัญญา 50 ปี
ส่วนหลักประกันเพิ่มเติมที่เอกชนต้องนำมาวางการันตีในการดำเนินโครงการนี้ รวมวงเงินประมาณ 160,000 ล้านบาท ซึ่งจะต้องนำมาวางให้กับ รฟท.ภายใน 270 วันหลังลงนามแก้ไขสัญญา ประกอบด้วย
1. หนังสือค้ำประกันค่าก่อสร้างงานโยธา 125,932.54 ล้านบาท
2. หนังสือค้ำประกันงานระบบ 14,813.49 ล้านบาท
3. หนังสือค้ำประกันคุณภาพเดินรถ 748.25 ล้านบาท
4. หนังสือค้ำประกันค่าสิทธิบริหารรถไฟฟ้าแอร์พอร์ตเรลลิงก์ (ARL) 10,671 ล้านบาท โดยวันลงนามสัญญาใหม่ เอกชนจะต้องชำระค่าสิทธิบริหาร ARL งวดแรกทันทีประมาณ 1,500 ล้านบาท และส่วนที่เหลือกำหนดทยอยชำระรวม 7 งวด
“หลักประกันก้อนใหม่ เอกชนยังไม่ต้องวางหลักประกันทันทีที่ลงนามแก้ไขสัญญาร่วมทุน โดยใช้เวลาหาหลักประกันได้ และนำมาวางให้ รฟท.ภายใน 270 วันนับจากลงนามสัญญา หรือเมื่อต้องการเบิกรับเงินสนับสนุนต้องวางหลักประกันทันที โดยการสร้างไปจ่ายไปจะทยอยจ่าย 5 งวด งวดละประมาณ 25,000 ล้านบาท โดยเมื่อเอกชนสร้างงานโยธาเสร็จ มาส่งงานก็จะสามารถคืนแบงก์การันตีเท่าจำนวนงวดงานกลับไปด้วย”