นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เปิดเผยว่า ขณะนี้ได้มอบนโยบายให้ธนาคารออมสิน ช่วยเติมเม็ดเงินในระบบ โดยการปล่อยสินเชื่อพิเศษ วงเงิน 1-2 หมื่นบาทต่อราย เป้าหมาย 3 แสนบัญชี คุณสมบัติจะเป็นกลุ่มบุคคลธรรมดาที่ทำมาค้าขาย และไม่เคยได้สินเชื่อ เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งทางออมสินก็รับโจทย์ไปแล้ว และกำลังหาวิธีการอยู่
นอกจากนี้ กำลังเตรียมหารือกับสมาคมธนาคารไทย เพื่อพิจารณาเรื่องการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อมากยิ่งขึ้น โดยรัฐบาลช่วยอุดหนุนด้วยการให้ธนาคารพาณิชย์ลดเงินนำส่งเข้ากองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน (FIDF) ลงไป 0.23% จากปกติ 0.46% ซึ่งเปิดโอกาสให้ทางธนาคารพาณิชย์เสนอวิธีการด้วยตัวเอง และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ก็จะช่วยดูในเรื่องนี้ด้วย
“ที่ผ่านมาสถาบันการเงินไม่กล้าปล่อยสินเชื่อ โดยเน้นไปปล่อยกู้แค่รายใหญ่ แต่ไม่ปล่อยให้รายเล็ก ถ้ารายเล็กมีปัญหาก็ลามกลับมาถึงรายใหญ่ได้เช่นกัน ซึ่งการกระตุ้นการปล่อยสินเชื่อนี้ ไม่ใช่การบังคับให้แบงก์ต้องปล่อยหมด แต่ให้เลือกกลุ่มที่พอมีความสามารถ ไม่ใช่ปิดประตูไม่ปล่อยให้รายเล็กเลย และเป้าหมายของผมการเติมเงินเข้าสู่ระบบ และการเติมเงินที่ดีที่สุด คือการให้สินเชื่อ”
ทั้งนี้ ยังพบปัญหาเงินหายไปจากตลาด โดยในหนึ่งปีมียอดสินเชื่อค้างในระบบธนาคารอยู่ประมาณ 18 ล้านล้านบาท โดยมีส่วนต่างรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ Net Interest Margin (NIM) อยู่ที่ 3% เท่ากับคนเอาเงินไปจ่ายดอกเบี้ยราว 5 แสนล้านบาท ซึ่งกลายเป็นกำไรของธนาคาร
ซึ่งมองว่าปัจจุบันธนาคารพาณิชย์ทั้งระบบรวม 2 แสนล้านบาทนั้น มากเกินไปเมื่อเทียบกับศักยภาพเศรษฐกิจไทยปัจจุบัน จึงอยากให้ภาคธุรกิจกลับมามองถึงความยั่งยืน หันกลับมาช่วยกัน แทนการมุ่งไปที่การทำกำไรสูงสุด
ขณะเดียวกัน รัฐพยายามทำให้คนเป็นหนี้มีอิสรภาพ หรือเรื่องติดเครดิตบูโร อาทิโครงการแก้หนี้ คุณสู้ เราช่วย ในส่วนมาตรการจ่าย ปิด จบ ที่รัฐบาลตั้งงบ ช่วยปิดหนี้ก้อนไม่เกิน 5,000 บาท ล่าสุดช่วยไปแล้วกว่า 1 แสนบัญชี
หรือกรณี ทีเป็นการกู้ร่วม การค้ำประกันเงินกู้ ซึ่งคลังจะหารือกับธปท. เพื่อแก้ไขเกณฑ์การกู้รวมโดยให้หาคนที่กู้จริง เพื่อให้มาใช้หนี้ตามโครงการ ส่วนคนที่เป็นผู้กู้ร่วมก็จะปลอดภาระไปอัตโนมัติ