นายเกรียงไกร เธียรนุกุล ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ในฐานะประธานการประชุมคณะกรรมการร่วมเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) กล่าวว่า กลุ่มสินค้าสำคัญที่ได้รับผลกระทบมากจากสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนปัจจุบันมีทั้งหมด 23 กลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เหล็ก พลาสติก เครื่องใช้ไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เครื่องนุ่งห่ม แก้วและกระจก เครื่องสำอาง ซึ่งหากไม่ทำอะไรเลยปีนี้จะกระทบเพิ่มเป็น 30 กลุ่มอุตสาหกรรม
ทั้งนี้ จากการตรวจสอบของ “ฐานเศรษฐกิจ” เกี่ยวกับกลุ่มสินค้าที่จะได้รับผลกระทบดังกล่าว พบว่า กกร.และกระทรวงพาณิชย์ได้มีการหารือผลกระทบต่อภาคอุตสาหกรรม 23 กลุ่ม โดยครอบคลุมผลกระทบจากการนำเข้า ผลกระทบต่อการผลิตและผลกระทบต่อชั่วโมงทำงาน ซึ่งกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบมาก ประกอบด้วย
กลุ่มอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ มีผลกระทบจากการนำเข้าต่ออุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์และส่วนประกอบ รวมถึงอุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ ในขณะที่มีผลกระทบการผลิตต่อการผลิตคอมพิวเตอร์ อิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ทางทัศนศาสตร์ และเครื่องใช้ในครัวเรือน
กลุ่มอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม มีผลกระทบจากการนำเข้าต่อข้าวและผลิตภัณฑ์จากแป้ง, ผักและผลไม้, นมและผลิตภัณฑ์นม, กาแฟ ชา และเครื่องเทศ, ขนมหวานและช็อกโกแลต รวมทั้งมีผลกระทบการผลิตผลิตภัณฑ์สัตว์น้ำแช่เย็นแช่แข็ง และผลิตภัณฑ์ธัญพืช
นอกจากนี้ มีกลุ่มอุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบ ได้แก่ อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลและโลหะการ, อุตสาหกรรมเครื่องจักรกลการเกษตร, อุตสหกรรมอลูมิเนียม, อุตสาหกรรมหล่อโลหะ, อุตสาหกรรมพลาสติก, อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์และหัตถกรรมสร้างสรรค์
อุตสาหกรรมต่อเรือซ่อมเรือและก่อสร้างงานเหล็ก, อุตสาหกรรมเทคโนโลยีชีวภาพ, อุตสาหกรรมแก้วและกระจก, อุตสาหกรรมเยื่อและกระดาษ, อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง, กลุ่มอุตสาหกรรมผลิตภัณฑ์อาหารเสริม
อุตสาหกรรมเคมีภัณฑ์, อุตสาหกรรมแกรนิตและหินอ่อน, อุตสาหกรรมเซรามิก, อุตสาหกรรมปูนซีเมนต์, อุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับ, อุตสาหกรรมหนังและผลิตภัณฑ์จากหนัง, อุตสาหกรรมสิ่งทอ, อุตสาหกรรมเครื่องนุ่งห่ม
นายเกรียงไกร กล่าวว่า ภาคเอกชนมีความกังวลผลกระทบทางอ้อมเพราะจีนคือผู้ส่งออกรายใหญ่ของโลกและได้ดุลการค้าสหรัฐตลอด โดยปี 2566 สหรัฐมีมาตรการกีดกันเข้มข้นจึงลดสัดส่วนการส่งออกไปถึง 20% จากเดิมมูลค่ากว่า 5 แสนล้านดอลลาร์
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือการไหล่บ่าของสินค้าจีนมาในอาเซียนเพิ่มขึ้นเป็นอันดับ 1 ซึ่งกระทรวงอุตสาหกรรมค่อนข้างให้ความสำคัญกับการสกัดสินค้าไม่ได้มาตรการฐานเต็มที่ แต่ยอมรับว่ามีหลายงานที่เกี่ยวข้องที่ต้องบูรณาการร่วมกัน