“สุพัฒนพงษ์” โยนคลังหาช่องขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซลต่อ

10 พ.ค. 2565 | 03:51 น.

รองนายกรัฐมนตรี เศรษฐกิจ “สุพัฒนพงษ์” รับกรณีการขยายขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิต น้ำมันดีเซล ตอนนี้กระทวงการคลังกำลังพิจารณา เอายังไงต่อ ก่อนชงครม.ไฟเขียวอีกครั้ง

นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยถึงสถานการณ์ราคาน้ำมันแพง และกรณีการตัดสินใจขยายเวลาลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล 3 บาท/ลิตร ซึ่งจะสิ้นสุดในวันที่ 20 พฤษภาคม 2565 ออกไปหรือไม่ ว่า ขณะนี้กระทรวงการคลังกำลังพิจารณาอยู่ 

 

โดยกรณีดังกล่าว รองนายกรัฐมนตรีฯ ยืนยันว่าต้องพิจารณาไปถึงวันที่ 17 พฤษภาคม นี้ก่อน โดยจะต้องนำเข้าหารือในที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาต่อไป

 

สำหรับการปรับลดภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เป็นไปตามมติครม. เมื่อวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2565 ซี่งได้เห็นชอบมาตรการลดค่าครองชีพ และการปรับลดอัตราภาษีสรรพสามิตน้ำมันดีเซล เพื่อลดภาษีน้ำมันดีเซลไม่เกิน 3 บาทต่อลิตร เป็นเวลา 3 เดือน โดยมีผลตั้งแต่วันที่กฎกระทรวงมีผลใช้บังคับ ถึงวันที่ 20 พฤษภาคม 2565

ด้วยการดำเนินการดังกล่าว ส่งผลทำให้โครงสร้างราคาขายปลีกน้ำมันดีเซล ซึ่งเดิมจัดเก็บภาษีในอัตรา 5.99 บาทต่อลิตร โดยปรับลดประมาณ 3 บาทต่อลิตร โดยมีรายละเอียด ดังนี้

  • น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถัน เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก อัตราภาษีเดิม 6.440 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.440 บาท
  • น้ำมันดีเซลที่มีปริมาณกำมะถัน ไม่เกินร้อยละ 0.005 โดยน้ำหนัก อัตราภาษีเดิม 6.440 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.440 บาท
  • น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสม ไม่เกินร้อยละ 4 อัตราภาษีเดิม 6.440 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.440 บาท 
  • น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสม เกินร้อยละ 4 แต่ไม่เกินร้อยละ 7 อัตราภาษีเดิม 5.990 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.200 บาท 
  • น้ำมันดีเซลที่มีไบโอดีเซลประเภทเมทิลเอสเตอร์ของกรดไขมันผสมเกินร้อยละ 7 แต่ไม่เกินร้อยละ 9 อัตราภาษีเดิม 5.930 บาท อัตราภาษีใหม่ 3.170 บาท

อย่างไรก็ตามในปัจจุบันการดำเนินการดังกล่าวใกล้ที่จะสิ้นสุดมาตรการแล้ว แต่ราคาน้ำมันยังคงมีแนวโน้มอยู่ในระดับสูง ทำให้มีเสียงเรียกร้องจากหลายฝ่าย ทั้งประชาชน ผู้ประกอบการ รวมทั้งนักวิชาการ ขอให้รัฐบาลขยายระยะเวลาออกไป เพื่อบรรเทาผลกระทบให้กับประชาชน แม้ว่าการดำเนินการครั้งนี้จะส่งผลให้รัฐบาลจัดเก็บรายได้ลดลงไปก็ตาม