สร้างความฮือฮาไปทั้งวงการ สตาร์ตอัพ ภายหลังการประกาศปิดตัวลงของ ดีแทค แอคเซอเลอเรท โครงการบ่มเพาะ
สตาร์ตอัพ ของดีแทค ที่ก่อตั้งมายาวนานกว่า 7 ปี ซึ่งมีสตาร์ตอัพในพอร์ตกว่า 60 ทีม ที่ต้องกระจัดกระจายออกไปเพื่อหาแหล่งทุนสนับสนุนรายใหม่ หากต้องมองย้อนกลับไปที่สาเหตุปัญหาวงการสตาร์ตอัพไทยเสมือนกับดักที่ทำให้ไปไม่ถึงฝั่งฝัน ส่วนหนึ่งเกิดจากขาดแรงผลักดันและสนับสนุนอย่างจริงจังจากทั้งภาครัฐและเอกชน ทำให้สตาร์ตอัพไทยไม่สามารถก้าวไปสู่ “ยูนิคอร์น” ได้
อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ทีมผู้บริหาร “ดีแทค แอคเซอเลอเรท” ได้ยกทีมไปอยู่ในอ้อมกอดของบริษัท อินโนสเปซ (ประเทศไทย) จำกัด กองทุนที่เกิดจากความร่วมมือระหว่างภาครัฐ และเอกชน เพื่อสนับสนุนเงินลงทุนกับกลุ่มสตาร์ตอัพ ตั้งแต่ระดับ Pre-Seed ไปจนถึงขั้น Unicorn (สตาร์ตอัพที่มีมูลค่าบริษัทมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ในสาขาอุตสาหกรรมเป้าหมาย S-Curve ซึ่ง เป็นเทคโนโลยีขั้นสูงสามารถใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ที่เรียกว่า Deep Technology ล่าสุดอินโนสเปซ ยังอยู่ระหว่างการเจรจาซื้อสตาร์ตอัพ ที่อยู่ในพอร์ตของ ดีแทค แอคเซอเลอเรท เพื่อมาต่อยอดโครงการบ่มเพาะสตาร์ตอัพต่อไป
โดยนายกิตตินันท์ อนุพันธ์ ประธานกรรมการ บริษัท เอนนี่แวร์ ทู โก จํากัด ผู้ก่อตั้ง เคลมดิ (Claim Di) สตาร์ตอัพกลุ่มแรกที่ได้รับการสนับสนุนจาก “ดีแทค แอคเซอเลอเรท” เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่า “การปิดตัวของดีแทค แอคเซอเลอเรท น่าจะส่งผลกระทบต่อความตื่นตัวของสตาร์ตอัพ แต่ถ้าสตาร์ตอัพต้องการที่จะไปต่อยอดกับนักลงทุนรายอื่นก็สามารถทำได้ อาจจะเป็นบริษัทอื่นที่เข้ามาซื้อตัวทีมผู้บริหารของดีแทค แอคเซอเลอเรท ไปทั้งหมดแล้วไปสร้างใหม่ ก็จะมีบริษัทแอคเซอเลอเรทใหม่ขึ้นมาอย่างที่ได้เห็นกันก็ คือ อินโนสเปซ ที่ตั้ง เป้าระดมเงินทุนเพื่อสนับสนุนสตาร์ต อัพไว้ที่กว่า 1,000 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้น่า จะมีเงินทุนแล้วกว่า 700 ล้านบาท และยังอยู่ในระหว่างการเจรจาเรื่องการซื้อหุ้นของดีแทคที่ตอนนี้ได้ผู้บริหารไปแล้ว ต้องรอดูว่าจะมีการซื้อสตาร์ตอัพจากพอร์ตของดีแทคทั้งหมดไปด้วยหรือไม่ ปัจจุบันดีแทค แอคเซอเลอเรท มีสตาร์ตอัพที่ยังสามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้กว่า 70% ของสตาร์ตอัพในโครงการทั้งหมด และจะต้องมีสตาร์ต อัพในที่นี้สามารถที่จะเติบโตไปถึงระดับยูนิคอร์น (มีมูลค่าบริษัทกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) ได้”
สำหรับทิศทางของสตาร์ตอัพไทยจะเห็นว่าทุกปีมีสตาร์ตอัพเกิดใหม่ต่อเนื่อง อย่างปีที่ผ่านมามีสตาร์ต อัพที่เข้าร่วมโครงการดีแทค แอคเซอเลอเรท กว่า 500 ทีม และผ่านเข้ารอบ 13 ทีม แต่ในปี 2563 นี้จะมีแอคเซอเลอเรเตอร์รายใดที่มารับสตาร์ต อัพกว่า 10 ทีมนี้ได้อีก อีกทั้งระบบนิเวศของสตาร์ตอัพมีหลายสเตตซึ่งในระยะเริ่มต้นสตาร์ตอัพต้องการเงินเพียง 300,000- 1,000,000 บาท เพื่อแปลงไอเดียให้เกิดขึ้นได้จริง แต่ยังไม่มีรายใดในตลาดที่ให้เงินลงทุนแลกกับหุ้น ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่แตกต่างและมีความสำคัญ เพราะความตั้งใจที่จะเติบโตไปพร้อมกันเป็นพันธะสัญญาระหว่างกันก็คาดหวังว่าโมเดลนี้น่าจะเกิดขึ้นที่อินโนสเปซ นอกจากนี้กองทุน 500 TukTuks ที่สามารถสนับสนุนเงินทุนให้ได้ 3-10 ล้านบาทแต่สตาร์ตอัพส่วนใหญ่ก็ยังไม่มีความสามารถพอ
ขณะที่นายอุกฤษ อุณหเลขกะ ซีอีโอและผู้ร่วมก่อตั้ง รีคัลท์ (Ricult) กล่าวว่า การปิดโครงการดีแทค แอคเซอเลอเรทอาจเป็นเรื่องของการขยายโครงสร้างให้ใหญ่ขึ้นเพื่อให้นักลงทุนจากบริษัทอื่นๆ เข้ามาถือหุ้นแทนที่ดีแทคจะบริหารทุกอย่างเองคนเดียวก็อาจจะเป็นกลุ่มธุรกิจหลายรายเข้ามาเพื่อสนับสนุนด้านเงินทุนให้กับสตาร์ตอัพ เนื่องจากที่ผ่านมาแต่ละปีดีแทคมีค่าใช้จ่ายในการสนับสนุนสตาร์ตอัพค่อนข้างสูงในการบ่มเพาะสตาร์ตอัพ
“ต้องรอดูต่อไปว่าจะมีบริษัทไหนที่เข้ามาช่วยสนับสนุนเพิ่มเติมในอนาคต สตาร์ตอัพที่ออกจากโครงการ ดีแทค แอคเซอเลอเรทถือว่ามีอัตราการอยู่รอดที่ค่อนข้างสูงเกินกว่าครึ่งที่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปและมีรายได้ ทั้งนี้จุดอ่อนของสตาร์ตอัพไทยคือยังขาดแคลนบุคลากรที่มีความสามารถด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมที่จะเข้ามาช่วยในการดำเนินธุรกิจ ขณะที่ในปีนี้ทิศทางสตาร์ตอัพไทยยังคงมีการเติบโตได้อีกเพราะมีเรื่องของดิจิทัลดิสรัปชันเข้ามา”