ร้องป.ป.ช.ฟันล็อกสเปกเอื้อเอกชนนำน้ำมันเน่าขายกฟผ.

08 ต.ค. 2562 | 06:39 น.

ร้องป.ป.ช.เอาผิดล็อคสเปกเอื้อประโยชน์เอกชนเอาน้ำมันเน่าไปขายให้กฟผ.ทำรัฐเสียหาย

 

8 ตุลาคม 2562 - นายอุทัย ท้าวอินทร์ เลขาธิการชมรมต่อต้านการทุจริตและประพฤติมิชอบได้เข้าร้องทุกข์กล่าวโทษต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ว่า เจ้าหน้าที่ของรัฐ และเอกชนได้ร่วมกันกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2542 และเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหรือละเว้นการหน้าที่โดยมิชอบเพื่อให้เกิดความเสียหายแก่ผู้หนึ่งผู้ใด หรือ ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริตตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157

สืบเนื่องมาจากรัฐบาลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา 1 มีมติเห็นชอบตามกระทรวงพลังงานโดย นายศิริ จิระพงษ์พันธ์ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน กำหนดมาตรการยกระดับราคาปาล์ม 2 บาทกว่าๆ เป็น 3 - 4 บาทต่อกิโลกรัม ลดสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) 1.6 แสนตัน เฉลี่ย 3 หมื่นตันต่อเดือน ส่งให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) ผลิตไฟฟ้าที่โรงผลิตไฟฟ้าบางปะกง ใช้งบประมาณ 2,880 ล้านบาท

ต่อมาเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2561 คณะรัฐมนตรี(ครม.)ได้มีมติมอบหมายให้กระทรวงพลังงาน โดย กฟผ. ร่วมกับ กระทรวงพาณิชย์และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการจัดซื้อน้ำมันปาล์มดิบจำนวน 160,000 ตัน เพื่อใช้ผลิตกระแสไฟฟ้าที่โรงไฟฟ้าบางปะกง จังหวัดฉะเชิงเทรา โดยข้อกำหนดของ TOR (Term of Reference) มีการล็อคสเปก เอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางกลุ่มอย่างชัดเจนโดยเฉพาะคุณสมบัติของผู้เข้าร่วมโครงการต้องมีสต็อกน้ำมันปาล์มดิบไม่น้อยกว่า 50 % มีความสามารถในการขนส่ง เก็บรักษา และส่งมอบ ทั้งนี้ ให้มีการขนส่งสินค้าทางเรือเท่านั้น เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการคลังสินค้า ท่าเรือขน และเรือขนส่งอย่างชัดเจน

 

ราคาที่ซื้อขายนั้นได้กำหนดให้ กฟผ.รับซื้อน้ำมันปาล์มในราคา 18 บาทต่อ ก.ก. ซึ่งราคาดังกล่าวในการซื้อขายน้ำมันปาล์มโดยปกติทั่วไปแล้วจะต้องได้ค่ามาตรฐานสิ่งเจือปน FFA ไม่เกิน 5 % หากเกิน 5 % ในตลาดซื้อขายน้ำมันปาล์มเรียกน้ำมันที่มีค่ากรดสูงเกิน 5 % ว่า น้ำมันเน่าแต่กลับมีการเปิดช่องทางเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มเอกชนโดยกำหนดค่ามาตรฐานสิ่งเจือปน FFA อยู่ในระดับ 7-9 % การขายน้ำมันเน่าและไม่มีคุณภาพให้กับ กฟผ.ในราคา 18 บาทเป็นราคาที่สูงผิดปกติอย่างมาก เอื้อประโยชน์ให้กับผู้ประกอบการคลังน้ำมันรายใหญ่นำน้ำมันเน่าที่ค้างสต็อกไว้นานออกมาขาย การเปิดช่องว่างให้นำน้ำมันปาล์มเน่ามาขายในราคาแพงทำให้ผู้ประกอบการรายใหญ่ขนน้ำมันปาล์มเน่าที่ซื้อมาในราคาถูกออกมาขายให้กับรัฐในราคาที่แพงเกินความเป็นจริงซึ่งกลุ่มบุคคลที่จะมีน้ำมันกรดสูงขนาดนี้ที่รอระบายออก ไม่ใช่เกษตรกรอย่างแน่นอนต้องเป็นรายใหญ่ที่มีสต็อคน้ำมันเป็นจำนวนมากและเก็บไว้นานๆมีไม่กี่รายในประเทศไทย เป็นการเอื้อประโยชน์ให้เอกชนรายใหญ่ขนปาล์มเน่ามาขายให้กับรัฐ และรัฐต้องเสียเงินซื้อในราคามากเกินความเป็นจริง 2 – 4 บาทต่อ ก.ก. จำนวนที่ซื้อประมาณ 66,250 หมื่นตัน เท่ากับรัฐต้องเสียค่าใช้จ่ายมากผิดปกติและเกินกว่าความเป็นจริงเป็นเงินจำนวน 132.5 ล้านบาท – 265 ล้านบาท เงินส่วนต่างเหล่านี้ตกหล่นไปยังกลุ่มบุคคลใด สามารถตรวจสอบได้โดยง่ายจากหลักฐานการจ่ายเงินทั้งหมดในโครงการดังกล่าว

นอกจากนี้ใน TOR ยังมีการล็อคสเปก เอื้อประโยชน์ให้เครือข่ายเอกชน ที่ประกอบการโรงสกัด คลังน้ำมัน ท่าเรือ และเรือบรรทุกสินค้าโดยกำหนดให้ขนส่งทางเรือเท่านั้นเป็นการปิดโอกาสไม่ให้มีการขนส่งทางอื่น บริษัทที่มีท่าเรือ บริษัทที่ดูแลคลังสินค้า รับเก็บน้ำมันปาล์ม รับขนส่งสินค้า คือ บริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้ประกอบการปาล์มชื่อดังในภาคใต้  และเป็น 1 ในคู่สัญญาจัดส่งน้ำมันปาล์มดิบให้กับ กฟผ. ซึ่งได้รับผลประโยชน์โดยตรงเนื่องจากเป็นผู้ประกอบการคลังเก็บน้ำมันเป็นผู้ประกอบการขนส่งทางเรือและท่าเทียบเรือ

นายอุทัย ท้าวอินทร์ กล่าวด้วยว่า ได้เฝ้าติดตามข่าวที่เผยแพร่ต่อสาธารณะในเรื่องความไม่ชอบมาพากลของโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2562 จนถึงปัจจุบัน มีการนำเสนอข่าวมากกว่า 10 ครั้งแต่ผู้มีอำนาจในบ้านเมืองกลับไม่ใส่ใจตรวจสอบเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติจึงได้มาร้องทุกข์กล่าวโทษผู้ที่เกี่ยวข้องตามที่ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ต่อสาธารณชนให้คณะกรรมการป.ป.ช.ไต่สวนและนำผู้กระทำความผิดมาลงโทษ

สำหรับโครงการนี้ผ่านมาแล้ว 6 เดือน ราคาปาล์มยังไม่ขยับขึ้นแทนที่จะเป็นการยกระดับราคาปาล์มที่ตกต่ำกลับกลายเป็นการยกระดับให้กับกลุ่มเอกชนบางกลุ่มโดยที่เกษตรกรไม่ได้รับผลประโยชน์จะมีการเปิดให้เอกชนยื่นซองเสนอราคาต่อกฟผ.ล็อตใหม่ (ล็อตที่ 2) ในวันที่ 9 ตุลาคม 2562 นี้ ขอให้ประชาชนและหน่วยงานภาครัฐเฝ้าติดตามและอาจเป็นเอกชนกลุ่มเดิมที่ได้รับผลประโยชน์

นายอุทัย กล่าวทิ้งท้ายด้วยว่า แทนที่จะนำเอาเงินภาษีของประชาชนไปพัฒนาประเทศเพื่อประโยชน์ของเกษตรกรกลับนำมาเอื้อประโยชน์ให้กับกลุ่มเอกชนเพียงไม่กี่ราย ทำให้ประเทศชาติเสียหาย ชมรมเราก่อตั้งขึ้นมาเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติเป็นสำคัญ ในฐานะพลเมืองดีทุกคนต้องร่วมกันปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ต้องไม่เอาความเดือดร้อนของเกษตรกรมาบังหน้าเพื่อผลประโยชน์ของกลุ่มบุคคลบางกลุ่ม พร้อมฝากไปยังสื่อว่า ใครมีข้อมูลสำคัญสามารถแจ้งข้อมูลเบาะแสให้ตนได้