อสม.รณรงค์“สงกรานต์แห้ง”สู้โควิด

12 เม.ย. 2563 | 10:15 น.

สธ. ผนึก อสม. เคาะประตูบ้านรณรงค์“สงกรานต์แห้ง”สู้ภัยโควิด-19 เน้นอวยพรออนไลน์ ไม่รดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ กราบไหว้ผู้สูงอายุต้องห่าง 1-2 เมตร กระตุ้นคนไทยการ์ดไม่ตก

12 เมษายน 2563 นพ.ธเรศ กรัษนัยรวิวงค์ อธิบดีกรมสนับสนุนบริการสุขภาพ เปิดเผยว่า อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้านหรือ อสม. 1,040,000 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร หรือ อสส. 15,000 คน มีบทบาทสำคัญในการณรงค์และป้องกันการระบาดของโรคโควิด19 เป็นอย่างมาก ทั้งจากโครงการ “อสม. เคาะประตูบ้านต้านโควิด-19” ที่ดำเนินการระหว่างวันที่  2-26 มีนาคม 2563 ที่ให้ความรู้ คัดแยกกลุ่มเสี่ยง ส่งต่อให้เจ้าหน้าที่สาธารณสุขติดตาม และโครงการ “ค้นให้พบ จบใน 14 วัน” เริ่มวันที่ 27 มีนาคม จนถึงวันที่ 2 เมษายน 2563 อสม.ได้บุกเคาะประตูบ้านไปแล้ว 11,835,329  หลังคาเรือน โดยในช่วงติดตามตัว 14 วัน อสม.สามารถเฝ้าระวังคัดกรองกลุ่มเสี่ยงที่กลับจากต่างประเทศได้ 59,559 คน กลุ่มที่กลับจากกทม./ปริมณฑลได้ 466,045 คน กลุ่มไปร่วม/ใกล้ชิดคนในพื้นที่เสี่ยงอีก 139,378 คน  

ส่วนภารกิจเยี่ยมติดตามกลุ่มเสี่ยงที่บ้านอยู่ระหว่างดำเนินการ แบ่งเป็นกลุ่มที่กักตัวครบ 14 วันแล้ว 263,044 คนและยังไม่ครบ 14 วันอีก 369,319 คน นอกจากนี้ยังส่งต่อกลุ่มเสี่ยงที่มีอาการป่วยเข้าระบบการรักษาอีก 2,266  คน ถือว่าเป็นด่านหน้าในการเข้าถึงกลุ่มเสี่ยง และเป็นบทบาทภาคประชาชนของคนเล็กๆที่ร่วมทำภารกิจที่ยิ่งใหญ่ให้กับประเทศในครั้งนี้ด้วย

สำหรับในช่วงเทศกาลสงกรานต์ปีนี้ อสม. จะเข้ามามีบทบาทสำคัญอีกครั้งในโครงการ “อสม.ร่วมใจ รณรงค์สงกรานต์ไทยปลอดภัยจากโควิด-19” โดยจะบุกเคาะประตูบ้านทุกครัวเรือน เน้นย้ำความสำคัญมาตรการการเว้นระยะห่างหรือ Social Distancing งดการจัดเทศกาลสงกรานต์และเดินทางกลับภูมิลำเนา งดรดน้ำดำหัว พร้อมรณรงค์สืบสานประเพณีด้วยการสรงน้ำพระที่บ้าน แสดงความกตัญญูต่อญาติผู้ใหญ่ด้วยวิธีออนไลน์ และหากจำเป็นต้องเจอกันได้เน้นย้ำการสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง 1-2 เมตร 

ในด้านความพร้อมของโรงพยาบาลรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ได้รับความร่วมมือจากเครือข่ายสถานพยาบาลเอกชนในพื้นที่กรุงเทพฯ ระดมทรัพยากรที่มีเข้ามาช่วย ขณะนี้ในกทม.มีเตียงรองรับผู้ป่วยในทุกเครือข่าย จำนวน 1,973 เตียง เฉพาะโรงพยาบาลเอกชน 1,040 เตียง คิดเป็นร้อยละ 52.7 และมีผู้ป่วยประมาณ 333 ราย ที่รักษาตัวอยู่กับโรงพยาบาลเอกชน คิดเป็นร้อยละ 49 ของจำนวนผู้ป่วย และยังมีแผนเตรียมห้องผู้ป่วยความดันลบอีกกว่า 40 เตียงเพื่อสนับสนุนภาครัฐ 

 “จะเห็นว่าทั้งภาคประชาชนในบทบาท อสม. ภาคเอกชนในเครือข่ายโรงพยาบาลเอกชน และภาคธุรกิจโรงแรมที่เข้ามาช่วยเรื่อง Hospitel เมื่อระดมความร่วมมือเข้าด้วยกัน จะเป็นแรงสนับสนุนสำคัญในภารกิจควบคุมและรักษาโรคโควิด-19 ครั้งนี้ให้สำเร็จไปด้วยกัน” นพ.ธเรศกล่าว