กลุ่มทิสโก้กำไรสุทธิไตรมาส1/64เพิ่ม 18.7%

19 เม.ย. 2564 | 06:27 น.

กลุ่มทิสโก้นำร่องแจ้งกำไรสุทธิ 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ด้านฐานเงินสำรองสูงถึง 222% ย้ำหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

กลุ่มทิสโก้เผยผลประกอบการงวดไตรมาส 1/2564 กำไรสุทธิ 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 18.7%สาเหตุหลักมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจตลาดทุน จากการนำเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และดีลการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO) รวมถึงกำไรพิเศษจากมูลค่าเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้นด้วย  ด้านฐานเงินสำรองสูงถึง 222% ย้ำหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ 

กลุ่มทิสโก้กำไรสุทธิไตรมาส1/64เพิ่ม 18.7%

นายศักดิ์ชัย พีชะพัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มทิสโก้ เปิดเผยว่า ภายใต้โจทย์ในการดำเนินธุรกิจที่มีปัจจัยท้าทายรอบด้าน กลุ่มทิสโก้ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีกำไรสุทธิงวดไตรมาส 1/2564 จำนวน 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% จากไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้า สาเหตุหลักมาจากการเติบโตของรายได้รวมเพิ่ม 3.9% ค่าธรรมเนียมธุรกิจตลาดทุน เพิ่ม 47%ทั้งการนำเสนอขายกองทุนรวมที่ลงทุนในต่างประเทศ รายได้จากธุรกิจหลักทรัพย์และวาณิชธนกิจที่ขยายตัว 48.1% ปริมาณการซื้อขายหลักทรัพย์ที่เพิ่มขึ้น และดีลการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์ครั้งแรก (IPO)ของบริษัท ปตท. น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR     รวมถึงทิสโก้มีกำไรพิเศษจากมูลค่าเงินลงทุนที่เพิ่มขึ้น 313ล้านบาทด้วย

นอกจากนี้  ในไตรมาสที่ผ่านมา การตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิตของทิสโก้ปรับตัวลดลง ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่สามารถควบคุมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระดับ NPL ที่ทรงตัวที่ 2.5% รวมทั้งบริษัทได้กันสำรองครอบคลุมความเสี่ยงด้านเครดิตไว้ล่วงหน้าแล้ว ทำให้ระดับเงินสำรองต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ในระดับสูง และแม้ว่าการปล่อยสินเชื่อจะยังไม่กลับสู่การเติบโต แต่ถือเป็นไปตามนโยบายการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังของบริษัท

“ธุรกิจเสาหลักของทิสโก้ประกอบด้วย 3 กลุ่ม ได้แก่ ธุรกิจ Wealth Management ธุรกิจ Retail Banking และธุรกิจ Corporate Banking โดยทุกกลุ่มอยู่ภายใต้การสนับสนุนของบริษัทแม่ และแต่ละกลุ่มมีส่วนส่งเสริมซึ่งกันและกัน ขณะที่ความเสี่ยงกระจายตัวแยกกันชัดเจน จึงช่วยรักษาสมดุลด้านรายได้และทำให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างต่อเนื่องขณะที่กลยุทธ์การทำงานภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่เปราะบาง กลุ่มทิสโก้จะให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการและควบคุมความเสี่ยงอย่างมีประสิทธิภาพ เลือกทำในสิ่งที่ชำนาญ รวมถึงแสวงหาโอกาสใหม่ๆ จากความชำนาญนี้ ที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า พร้อมปรับกระบวนการในการดำเนินการ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาเป็นตัวช่วยในการต่อยอดผลิตภัณฑ์และบริการที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า และเพื่อให้ธุรกิจผ่านพ้นวิกฤตและเติบโตได้อย่างยั่งยืน”

สำหรับไตรมาส 1 ปี 2564 บริษัทมีกำไรสุทธิจำนวน 1,764 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.7% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1 ปี 2563 จากรายได้จากธุรกิจหลักที่ปรับตัวดีขึ้น โดยเฉพาะรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจตลาดทุน และการรับรู้รายได้พิเศษจากเงินลงทุน ประกอบกับการตั้งสำรองค่าเผื่อผลขาดทุนด้านเครดิตที่ลดลง โดยรายได้รวมเพิ่มขึ้น 3.9%

 

อย่างไรก็ตาม รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจธนาคารพาณิชย์ยังคงอ่อนตัว สอดคล้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเมื่อเทียบกับเมื่อไตรมาส 1 ของปีก่อน สำหรับรายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับลดลง 10.1% จากพอร์ตสินเชื่อที่ชะลอตัว ค่าใช้จ่ายจากการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 3.5% ตามทิศทางการฟื้นตัวของรายได้ ส่วนผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss – ECL) อยู่ที่ 1.5% ของสินเชื่อ ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า ตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ปรับตัวดีขึ้นจากมาตรการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ในขณะที่บริษัทยังคงดำเนินนโยบายการตั้งสำรองอย่างระมัดระวังเพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นจากสถานการณ์การระบาดระลอกใหม่ตั้งแต่ต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมา ทั้งนี้ อัตราผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้นเฉลี่ย (ROAE) ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 17.5%

 

 

 

 

 

 

 

สำหรับเงินให้สินเชื่อรวมของกลุ่มทิสโก้ ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 มีจำนวน 220,757 ล้านบาท ลดลง 1.8% จากสิ้นปีก่อนหน้า จากการชะลอตัวของสินเชื่อรายย่อย ตามการปล่อยสินเชื่ออย่างระมัดระวังในภาวะความเสี่ยงที่สูงขึ้น ในขณะที่สินเชื่อธุรกิจยังคงเติบโตได้ดี ท่ามกลางภาวะที่การระดมทุนผ่านตลาดตราสารหนี้ไม่เอื้ออำนวย ในส่วนของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ทรงตัวอยู่ที่ 2.5% จากมาตรการควบคุมคุณภาพสินทรัพย์ที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้บริษัทมีระดับเงินสำรองหนี้สูญต่อหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Coverage Ratio) อยู่ที่ 222% ณ สิ้นไตรมาส 1 ปี 2564

ธนาคารทิสโก้ยังคงรักษาระดับฐานะเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง โดยมีประมาณการอัตราเงินกองทุนต่อสินทรัพย์เสี่ยง (BIS Ratio) อยู่ที่ 23.0% สูงกว่าอัตราเงินกองทุนขั้นต่ำ 11.0% ที่กำหนดโดยธนาคารแห่งประเทศไทย และมีอัตราเงินกองทุนชั้นที่ 1 และชั้นที่ 2 ต่อสินทรัพย์เสี่ยงอยู่ที่ 18.3% และ 4.7% ตามลำดับ